Google Website Translator

Monday, July 30, 2012

Catfish market in Mexico

แนวโน้มตลาดปลาดุกในเม็กซิโก (Pangasius Hypophthalamus)

เนื้อปลาดุกแช่เย็น (Pangasius Hypophthalamus) เป็นอาหารประเภทปลาชนิดใหม่สำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ ยุโรป และภูมิภาคลาตินอเมริกา ได้มีการพัฒนาการผลิตและตลาดการส่งออกอย่างรวดเร็วในระยะเวลาประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา และในปัจจุบัมีระดับการผลิตและการส่งออกที่แข่งขันกับเนื้อปลานิลแช่แข็ง กุ้งแช่แข็ง และปลาแซลมอนแช่เย็น ปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวของตลาดเนื้อปลาดุกแช่เย็นอย่างรวดเร็วคือ ความได้เปรียบทั้งในด้านราคาและรสชาติ

ผู้ที่พัฒนาการผลิตเนื้อปลาดุกแช่เย็นที่เร็วที่สุด ได้แก่ประเทศเวียดนาม จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ. 2003 สหรัฐฯ ได้เริ่มการรณรงค์ต่อต้านเนื้อปลาดุกแช่เย็นนำเข้าจากเวียดนาม อันเป็นผลให้ผู้ส่งออกปลาดุกไม่สามารถใช้ชื่อสินค้าปลาดุกที่นำเข้าว่าเป็น Catfish ปลาดุกนำเข้าจากภูมิภาคเอเชียและแหล่งอื่นๆ จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อปลา Panga/Basa-Sutchi/Sawai ส่วนในประเทศเม็กซิโกเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในชื่อปลา Bagre de canal


การผลิตและตลาดการส่งออก-นำเข้าเนื้อปลาดุกแช่แข็ง

เวียดนามมีความสามารถผลิตปลาดุกได้ปีละกว่า 1 ล้านตัน ที่สามารถแปลงเป็นเนื้อปลาดุกแช่เย็น (fillets) ในสัดส่วนหนึ่งส่วนสามของน้ำหนักปลาทั้งตัว ในปี 2011 ได้เวียดนามได้ส่งออกเนื้อปลาดุกแช่เย็นประมาณ 380,000 ตัน มูลค่าการส่งออก 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

เวียดนามมีกำลังการแปรรูปปลาดุกเพาะเลี้ยงเป็นเนื้อปลาดุกแช่เย็นได้ 3,500 ตันต่อวัน มีโรงงานแปรรูปเนื้อปลาแช่เย็นในระดับอุตสาหกรรม 405 แห่ง โดยมี 80 แห่งที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเพื่อการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป และอีก 30 แห่งที่ได้รับการรับรองเพื่อการส่งออกไปยังรัสเซีย ในจำนวนโรงงานดังกล่าว ร้อยละ 16 มีระดับการผลิตที่ได้รับการับรองมาตรฐานระบบ ISO

ตลาดการส่งออกเนื้อปลาดุกแช่เย็นได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จากปี 2008 ต่อมาจนถึง 2011 ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในสหภาพยุโรป ราคาปลาดุกที่ตกต่ำในปี 2008 ได้ส่งผลให้ผู้เพาะเลี้ยงปลาดุกในเวียดนามไม่สามารถระดมทุนเพื่อการเพาะเลี้ยงในปี 2009 สร้างแรงกดดันให้ราคาถีบตัวขึ้นในปี 2009 (ราคาขายของเนื้อปลาดุกแช่เย็นในยุโรปในปีนั้น มีราคา 2.65 เหรียญต่อกิโล)

ตลาดที่สำคัญที่สุดสำหรับเนื้อปลาดุกแช่เย็นคือ กลุ่มประเทศยุโรป สหรัฐฯ และรัสเซีย โดยในปี 2011 ยุโรปได้นำเข้าเนื้อปลาน้ำจืดแช่เย็นในปริมาณ 209,000 ตัน โดยร้อยละ 90 ของเนื้อปลาน้ำจืดแช่เย็นที่นำเข้าในปีนั้น เป็นเนื้อปลาดุกแช่เย็น ส่วนสหรัฐฯ ได้นำเข้าเนื้อปลาดุกแช่เย็นประมาณ 92,000 ตัน เป็นปริมาณการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 จากปี 2010

เนื้อปลาดุกแช่เย็นเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมสูง มีตลาดนำเข้ากว่า 100 ประเทศ ในช่วงหลังนี้ การส่งออกเนื้อปลาดุกแช่เย็นไปยังกลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเม็กซิโกเป็นผู้นำเข้าเนื้อปลาดุกแช่เย็นอันดับ 5 ของโลก ตามด้วยประเทศโคลัมเบีย บราซิล และคอสตาริกา ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 2011 เม็กซิโกได้นำเข้าปลาดุกแช่เย็นเป็นปริมาณ 73,117 ตัน มูลค่า 227 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โอกาสการพัฒนาและปัญหาอุปสรรคของตลาดเนื้อปลาดุกแช่แข็ง

การขยายตัวของตลาดเนื้อปลาดุกเแช่เย็นในประเทศลาติอเมริกา ได้มีแรงผลักดันให้หน่วยงานด้านประมงของประเทศเหล่านี้ เริ่มเพ่งเล็งการควบคุมการนำเข้า รวมทั้งพิจารณาการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงภายในประเทศเพื่อส่งเสริมภาคประมงน้ำจืด และเพื่อหารายได้จากการส่งออก จากการศึกษาของหน่วยงานต่างๆ ของกลุ่มประเทศเหล่านี้ ได้มีการเสนอมาตรการ 3 อย่างเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดปลาดุกแช่เย็นนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนี้

· อนุมัติให้มีการนำเข้าจนกว่าจะเห็นแนวโน้มของความต้องการสินค้า หรือขนาดของตลาดที่คงที่ (เป็นมาตรการที่เหมาะสมสำหรับช่วงการนำเข้าแรกเริ่ม)

· ดำเนินนโยบายป้องกันตลาดภายใน โดยการกำหนดภาษีนำเข้า หรือมาตรฐานสุขอานามัยอาหาร หรือการสร้างภาพพจน์ในทางลบต่อสินค้านำเข้าดังกล่าว (เป็นมาตรการที่เริ่มใช้เมื่อการนำเข้ามีปริมาณสูง และเริ่มบีบตลาดสินค้าอาหารทะเลอื่นๆ และมีผลกระทบต่อชาวประมงของประเทศผู้นำเข้า)

· แข่งขันโดยการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงภายในประเทศ (เป็นมาตรการที่มีโอกาสสร้างรายได้จากการส่งออกสำหรับประเทศที่ภูมิอากาศและแหล่งน้ำที่เหมะสม)

กรณีย์การกีดกันการนำเข้าเนื้อปลาดุกแช่เย็นจากเวียดนามในสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างการรณรงค์กีดกันสินค้าที่ได้รับการวิจารณ์อย่างสูง และเวียดนามได้โต้ตอบกลับโดยการประท้วงทั้งข้อกล่าวหาของ WWF และ การสอบสวนการทุ่มตลาดในสหรัฐฯ ส่วนประเทศอื่นๆ ที่ได้มีการกีดกันการนำเข้าเนื้อปลาดุกแช่เย็นได้แก่ ประเทศบราซิล ที่อ้างเหตุผลเพื่อปกป้องชาวประมงภายในประเทศ และเม็กซิโก ซึ่งได้ห้ามการนำเข้าจาดเวียดนามและจีน โดยอ้างเหตุด้านสุขอานามัยเนื่องจากเป็นสินค้าที่สามารถมีการติดเชื้ออหิวาฯ นอกจากนี้แล้ว ประเทศอียิปต์ รัสเซีย อิตาลี และสเปน ต่างก็ได้อ้างเหตุผลด้านสุขอานามัยเพื่อยุติการนำเข้าเป็นช่วงๆ ซึ่งได้มีผลต่อทัศนคติของผู้บริโภคลดความต้องการของสินค้านี้อย่างเห็นได้ชัดเจน

สถิติการนำเข้าปลาดุกในเม็กซิโกปี 2009-2011

กระทรวงเกษตรและประมงเม็กซิโก (CONAPESCA) ได้จัดพันธุ์ปลาดุกเป็นปลาประเภทเลี้ยงเพื่อความสวยงาม (ornamental) และไม่จัดเป็นพันธุ์ที่อนุญาติให้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอาหารได้ แต่มีภาคเอกชนที่สนใจที่จะพัฒนาธุรกิจด้านนี้ หน่วยงานราชการของเม็กซิโกจึงกำลังพิจารณาระเบียบมาตรฐานการนำเข้า รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวข้องต่างๆ ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฏาคม 2011 สำนักงานสถิติแห่งชาติเม็กซิโกได้เปลี่ยนรหัส HS code ของปลาดุกนำเข้าจาก HS 03042999 เป็น HS 03046201 โดยสินค้าเนื้อปลาดุกแช่เย็นดังกล่าว มีการจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 20


Source: World Trade Atlas


รายชื่อผู้นำเข้าปลาดุกในเม็กซิโก

1.-COMERCIALIZADORA MEXICO AMERICANA, S.A DE C.V
NUEVA WAL-MART DE MEXICO S. DE R.L, BODEGA AURRERA, SUPERAMA, SAM’S, VIP’S, WAL-MART SUPERCENTER
Mr. Carlos Enrique Ortega, Imports Sub-manager
Address: Av. De la Luz 34, Parque Industrial LaLuz, Cuauytitlan Izcalli, Mexico 54380
Tel: (52) (55) 5899 1200 Ext. 1260
Fax: (52) (55) 58991242

2.- TIENDAS SORIANA, S.A DE C.V
Mr. Rene Sánchez Franch, Department Sub-Director
Address: Alejandro de Rodas 3102-A, Col. Cumbres 8° sector, Monterrey N.L
Tel: (52) (81) 83299000 Ext. 8764
Fax: (52) (81) 83299161

3.-EMPACADORA DEL GOLFO DE MEXICO, S.A DE C.V
Ms. Alejandra Espinosa Gama, Purchasing Manager
Address: Framboyanes 1393, Col. Bruno Pagliali, Veracruz  91697
Tel: (52) (229) 9810614, 98111798 Ext. 105
Fax: (52) (229) 9395858

4.- GRUPO MARITIMO INDUSTRIAL, S.A DE C.V (GRUPO MAR)
Mr. Juan Garcia Figueiras, Import and Export Manager
Address: Central Oriente 5, Parque industrial Fundeport, Manzanillo, Colima 22219
jfigueiras@grupomar.com
Tel: (52) (314)3311420 Ext. 141

5.-TIENDAS COMERCIAL MEXICANA, S.A DE C.V
BODEGA COMERCIAL MEXICANA, MEGA COMERCIAL MEXICANA
TIENDAS SUMMESA
Mr Arsenio Iruretagoyena Bravo, Fish and Shellfishes Purchasing Manager
Address: Vallejo 980, Fracc. Industrial Vallejo, Mexico DF 02300
Tel: (52) (55) 52709770, 52709769
Fax: (52) (55) 52709732

6.-TIENDAS CHEDRAUI, S.A DE C.V
Mr. Anton Martinez Garcia, Purchasing Manager
Address: Constituyentes 1150, Edif. 3, PA
Col. Lomas Altas, Mexico DF 11950
Tel: (52) (55) 11038000 Ext. 8112, 11038017
Fax: (52) (55)11038000 Ext. 8069

7.-COMERCIALIZADORA DE IMPORTACIONES Y EXPORTACIONES TERRESTRES, S.A DE C.V
Mr. Enrique Burgos, President
Address: Providencia 1142, Col. Del Valle, Mexico, D.F 03100
eburgos@prodigy.net.mx
Tel.: +52 (55) 56 41 55 98
Fax: +52 (55) 56 76 80 38

8.-MARINDUSTRIAS, S.A DE C.V
MARISTMO, S.A DE C.V
MARFRIGO, S.A DE C.V
MARITIMA INDUSTRIAL PESQUERA, S.A DE C.V
Ms.  Juan Carlos de los Santos Manzo, Purchasing Manager
Address: Central Oriente 5
Parque Industrial F. Ramirez Fondepot, Manzanillo Colima 28219
Tel: (52) (314) 3311420, 3365055 Ext. 116
Tel: (52) (314) 3365993

Monday, July 23, 2012

Cup Noodle Market in Mexico

ตลาดบะหมี่แห้งสำเร็จรูปในเม็กซิโก


การวิเคราะห์ตลาดอาหารในเม็กซิโกโดยวารสาร Dia Siete ได้รายงานว่า ในปี ค.ศ. 2003 เม็กซิโกเป็นผู้บริโภคหนึ่งในสิบส่วนของผลผลิตบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยในโลก หรือประมาณ 4 ล้านถ้วย (Maruchen) ต่อวัน หรือร้อยละ 15 ของผลผลิตบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยของบริษัท Maruchen ซึ่งเป็นยี่ห้อบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยยอดนิยมในเม็กซิโก บะหมี่สำเร็จรูปประเภทด้วยยี่ห้อมารุจันมีส่วนแบ่งการครองตลาดในเม็กซิโกเป็นสัดส่วนร้อยละ 75 ผู้ผลิตบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้ออื่นๆ ที่แข่งขันกับมา


สำนักงานปกป้องสิทธิผู้บริโภคแห่งเม็กซิโก (PROFECO) ได้รายงานการสำรวจตลาดบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยว่า ร้อยละ 92 ของผู้ร่วมการสำรวจได้เลือกยี่ห้อ Maruchen เป็นบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยที่ดีที่สุด โดยผู้ร่วมการสำรวจได้ให้เหตุผลการเลือกรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปโดยทั่วไป เพราะว่าเป็นอาหารที่มีราคาถูก และมีรสชาติที่ถูกใจ 

สถิติอื่นๆ ที่รายงานการสำรวจตลาดบะหมี่สำเร็จรูปในเม็กซิโกแจ้ง ได้แก่
  • ในปี 2008 ผู้บริโภคเม็กซิโก ได้บริโภคบะหมี่สำเร็จรูปเทียบเท่ากับร้อยละ 97 ของยอดผู้บริโภคสินค้าดังกล่าวในภูมิภาคลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นการบริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 จากปี 2007 
  • ตลาดบะหมี่สำเร็จรูปในเม็กซิโกปี 2009-2011 มีมูลค่า 1.9-2.4-3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ 
  • ยอดขายบะหมี่สำเร็จรูปในเม็กซิโกได้ขยายตัวในสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 46.4 ต่อปีในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา 
  • บะหมี่สำเร็จรูปมารุจันมียอดขาย 1.3 ล้านถ้วยในเม็กซิโก 
  • บะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยในเม็กซิโก มีราคาประมาณ 6.00 เปโซต่อถ้วยในปี 2012 เป็นราคาที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น 53 สตางค์จากปี 2011 ซึ่งมีราคา 5.20 เปโซต่อถ้วย 
ปัจจัยที่สำคัญสำหรับตลาดบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยในเม็กซิโก

ราคาที่ย่อมเยาของบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยซึ่งเป็นอาหารสำเร็จในตัวมื้อหนึ่ง เป็นปัจจัยที่ดึงดูดใจผู้บริโภคชาวเม็กซิกันมากที่สุด ในขณะที่โครงสร้างการจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่ง โดยการขนส่งจัดจำหน่ายบะหมี่สำเร็จรูปประเภทด้วย มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับกับการจัดส่งน้ำอัดลมโคคาโคล่า ที่เจาะเข้าไปถึงหมู่บ้านที่ห่างไกลที่สุดได้อย่างเป็นระบบ 

นักศึกษาและผู้ทำงานออฟฟิสเป็นผู้ที่นิยมรับประทานบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้ที่เดินทางออกจากบ้านในเวลาที่เช้ามาก และต้องการอาหารที่รับประทานได้อย่างรวดเร็ว โดยยอดขายของบะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยจะมีปริมาณขายที่สูงที่สุดในช่วงเวลาเที่ยงวัน 

ผู้บริโภคชาวเม็กซิกัน โดยเฉพาะผู้บริโภคเพศหญิง มีความเห็นว่า บะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วย เป็นอาหารที่มั่นใจในความสะอาดได้ดีกว่า ทาโก้ที่เป็นอาหารแบบเร่งรีบที่นิยมของชาวเม็กซิกัน 

บะหมี่สำเร็จรูปประเภทถ้วยยี่ห้อมารุจัน เป็นสินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ และนำเข้ามาในเม็กซิโก ในขณะที่ยี่ห้อ Nissin และ La Moderna เป็นสินค้าที่ผลิตในเม็กซิโก ในปี 2011 เม็กซิโกได้นำเข้าอาหารประเภทซุปจากสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก มูลค่ารวม 151 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนร้อยละ 92 อันดับสองจากกัวเตมาลา ในสัดส่วนร้อยละ 6.8 อันดับสามจากเกาหลีใต้ สัดส่วนร้อยละ 0.4 และจากไทยเป็นอันดับที่ 8 ในสัดส่วนร้อยละ 0.08 มูลค่า 0.32 ล้านเหรียญฯ




ปริมาณการขายอาหารประเภทบะหมี่สำเร็จรูป ในเม็กซิโก ค.ศ. 2010

Type of Instant Noodles
Quantity in 1000 MT
Value: Million Pesos
Cups/Bowls Instant Noodles
118.81
9,270.41
Pouch Instant Noodles
0.30
12
Total Instant Noodles
119.11
9,282.82
Source: Euromonitor

บริษัทผู้จำหน่ายอาหารประเภทบะหมี่สำเร็จรูป ในเม็กซิโก ค.ศ. 2009
Company Name
Market Share (%)
Toyo Suisan Kaisha Ltd.
74.55
Nissin Foods USA Company Inc.
7.52
Fabrica de Pastas Alimenticias La Moderna SA de CV
6.34
Industrias Productos Alimenticias SA (IPAL)
4.77
                               Source: Euromonitor

Wednesday, July 18, 2012

Effect of Euro crisis on Mexico

ผลกระทบของวิกฤตการณ์ยูโรในเม็กซิโก

นาย Augustin Carstens ผู้ว่าแบงค์ชาติแห่งเม็กซิโก ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจเม็กซิโก โดยกล่าวถึงผลกระทบของสถานการณ์การเงินของสหภาพยุโรป ว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกยังได้รับผลกระทบไม่มากนัก และจะคงรักษาภาวะเศรษฐกิจที่ดีต่อไปได้ หากสถานการณ์การเงินของยุโรปไม่ถดถอยจนเกิดเหตุการณ์วิกฤต 2 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อเม็กซิโก อันได้แก่ 


1. ภาวะหนี้ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีภาวะที่รุนแรงมากขึ้นจนสภาพคล่องทางการเงินของภูมิภาคยุโรปอยู่ในขั้นวิกฤต ปริมาณเงินทุนไหลเวียนจากยุโรปไปสู่ตลาดเกิดใหม่น้อยลง 



2. สภาวะของยุโรปเกิดผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของเม็กซิโก 


ปัจจัยที่ช่วยต้านทานวิกฤการณ์การเงินของเงินยูโรสำหรับเม็กซิโก ได้แก่
  • เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมทั้งความสามารถเบิกเครดิตฉุกเฉิน ที่มีกับองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เป็นมูลค่ารวม 200 พันล้านเหรยีญสหรัฐฯ 
  • อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมในอัตราร้อยละ 3 
  • ดุลบัญชีด้านต่างประเทศที่มีสภาพสมดุล
  • โครงสร้างระบบการเงินที่มีความมั่นคง และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี 
  • ภาวะการผลิตในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2012 ที่แสดงการขยายตัวที่ดี ถึงแม้ว่าจะแสดงการชลอตัวลงเล็กน้อยในตอนท้ายไตรมาสฯ 
  • ภาวะการผลิตที่สอดคล้องกับภาวะส่งออกที่ยังคงอยู่ในระดับปกติ 
  • ภาคธนาคารของเม็กซิโกมีเงินทุนเพียงพอ และภาวะหนี้สินยังคงอยู่ในสภาวะที่มั่นคง ผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดขึ้น อาจจะมาจากระบบการเงินไม่ใช่การส่งออก เนื่องจากธนาคารของเม็กซิโกหลายแห่ง มีความสัมพันธ์กับธนาคาร BBVA Bancomer และธนาคารSantander ของสเปน 
ผลกระทบต่อการส่งออก

สภาความมั่งคงของระบบการเงิน (CESF) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อประเมินสถานการณ์การเงินของเม็กซิโกอย่างสม่ำเสมอภายหลังวิกฤตการณ์การเงินปี 1997 และสำนักงานสถิติแห่งชาติของเม็กซิโก (INEGI) ได้รายงานว่า การส่งออกของเม็กซิโกไปยังสหภาพยุโรปในไตรมาสแรกปีนี้ มีสัดส่วนร้อยละ 6.7 โดยมีเพียงร้อยละ 2 ที่เป็นการส่งออกไปยังประเทศที่มีปัญหาการเงินกลุ่ม PIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) ในขณะที่การส่งออกโดยส่วนใหญ่ของเม็กซิโกเป็นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 77.2 นอกจากนี้แล้ว เม็กซิโกมีการส่งออกไปยังแหล่งอื่นๆ อันได้แก่ ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริเบียน ร้อยละ 11.1 ประเทศในทวีปเอเชีย ร้อยละ 4.5 กลุ่มประเทศโอเซียเนีย ร้อยละ 0.3 ประเทศในทวีปแอฟริกา ร้อยละ 0.1 และกลุ่มประเทศอาหรับร้อยละ 0.1 

การส่งออกของเม็กซิโกไปสหภาพยุโรปจึงเป็นสัดส่วนที่ไม่สำคัญมาก และการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบกับการไหลเวียนของแหล่งเงินทุนภายในประเทศ ล้วนปัจจัยที่ปกป้องเศรษฐกิจของเม็กซิโกจากสถานการณ์การเงินของยุโรป และเป็นตัวชี้ไปในทางบวกสำหรับเศรษฐกิจของเม็กซิโก 

สภา CESF ได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินของยุโรป แต่ก็เป็นส่วนที่จำกัดในส่วนผลกระทบที่อาจจะมีต่อภาวะเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และในกรณีย์ที่จะเกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงินในยุโรป ไม่มีข้อกังวลในผลกระทบต่อการส่งออกเม็กซิโกโดยตรง 

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว 

สำหรับผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวนั้น ก็ยังไม่ปรากฎผลกระทบในทางลบ เนื่องจากค่าเงินของเม็กซิโกที่อ่อนตัวกว่าค่าเงินยูโร เป็นปัจจัยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากยุโรป ยังคงพิจารณาการเดินทางมาท่องเที่ยวในเม็กซิโกได้อยู่ เม็กซิโกรับนักท่องเที่ยวจากยุโรปในสัดส่วนร้อยละ 15 ในขณะที่รับนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนร้อยละ 60 จากลาตินอเมริการ้อยละ 15 และจากเอเชียร้อยละ 5 ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจากยุโรปมักจะมีความนิยมท่องเที่ยวในพื้นที่ฝั่งทะเลแคริเบียน หาดทรายฝั่งRiviera Maya และกรุงเม็กซิโก 

ผลกระทบต่อภาวะการลงทุน 

ภาวะวิกฤตการณ์ในยุโรป จะเป็นปัจจัยชักจูงให้นักธุรกิจยุโรป ย้ายถิ่นฐานมาที่เม็กซิโกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศสเปน ในปัจจุบันมีบริษัทจากสเปนที่ดำเนินการลงทุนในเม็กซิโก มีจำนวน ประมาณ 4,000 บริษัท 

ร้อยละ 37 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเม็กซิโก มีแหล่งเงินทุนมาจากสหภาพยุโรป เยอรมันเป็นผู้ลงทุนสำคัญ และได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ใหม่ของยีห้อโวล์สวาเก็น ในปี 2011 

มูลค่าการลงทุนในปี 2011 มีมูลค่ารวม 19,439.8 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปี 2010 เป็นการลงทุน ในภาคการผลิตร้อยละ 44.1 ด้านบริการการเงินและประกันร้อยละ 18 ภาคการค้าร้อยละ 9.5 ภาคก่อสร้างร้อยละ 6.4 ภาคข้อมูลสารสนเทศและสื่อสาร ร้อยะล 5.7 และภาคอื่นๆ ร้อยละ 16.3 

ส่วนแหล่งเงินทุนโดยตรงระหว่างประเทศในปี 2011 มีมาจากสหรัฐฯ ร้อยละ 55 จากสเปนร้อยละ 15 จากเนเธอร์แลนด์ร้อยละ 6.7 สิวสเซอร์แลนด์ร้อยละ 6.3 แคนาดาร้อยละ 3.4 ญี่ปุ่นร้อยละ 3.4 และประเทศอื่นๆ ร้อยละ 10

Wednesday, May 23, 2012

Country Profile : MEXICO 2012

ข้อมูลเศรษฐกิจการค้าประเทศเม็กซิโกโดยทั่วไป


ประเทศสหรัฐเม็กซิโก ตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ตอนเหนือของประเทศติดกับประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนตอนใต้ของประเทศ ติดกับประเทศสาธารณรัฐกัวเตมาลาและประเทศเบลิซ พื้นที่ของประเทศขนาบไปด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้านโดยฝั่งตะวันตกมีเทือกเขา Sierra Madre Occidental และฝั่งตะวันออกมีเทือกเขา Sierra Madre Oriental ตอนกลางของประเทศเป็นที่ราบสูงซึ่งคิดเป็นร้อยละ 50 ของพื้นที่ประเทศ ลักษณะพื้นที่ประเทศแบ่งได้เป็นดังนี้ ร้อยละ 20 เหมาะแก่การเพาะปลูก ร้อยละ 38 เป็นทุ่งหญ้าเหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 28 เป็นป่าไม้ และพื้นที่ที่เหลือเป็นที่อยู่อาศัย ความยาวของประเทศจากเหนือจรดใต้ประมาณ 3,017 กิโลเมตร

1.1 ชื่อเป็นทางการ   สหรัฐเม็กซิโก (Estados Unidos Mexicanos)
1.2 เมืองหลวง  กรุงเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City)
1.3 ขนาดพื้นที่ 1.9 ล้านตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 13 ของโลก ประมาณ 4 เท่าของประเทศไทย
1.4 ประชากร 108 ล้านคน
1.5 ทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมัน เงิน ทองแดง ทองคำ ตะกั่ว สังกะสี ก๊าซธรรมชาติ และป่าไม้
1.6 ประวัติศาสตร์ 
      ประเทศเม็กซิโกแต่เดิมปกครองโดยชนเผ่าพื้นเมืองอารยธรรมเมโซอเมริกา เช่น กลุ่มอารยธรรมมายาที่มีอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ และต่อมามีชนเผ่แเอสเท็กได้มีความรุ่งเรืองอยู่ทางตอนกลางของประเทศเม็กซิโก 

ในปี ค.ศ. 1521 เม็กซิโกได้ถูกยึดครองโดยราชอาณาจักรสเปนในช่วงที่แสวงหาอาณานิคม และสเปนเรียกอาณานิคมนี้ว่า New Spain และได้มีการแต่ตั้งพระราชรองเป็นผู้ปกครองอาณาเขต สเปนได้ยึดครองเม็กซิโกยาวนานถึง 300 ปี จนประชาชนได้เริ่มลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออิสรภาพในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1810 และได้รับการยอมรับอิสรภาพจากสเปนในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 1821 หลังจากที่ได้รับเอกราชจากสเปนแล้ว เม็กซิโกได้ทำสงครามกับสหรัฐอเมริกาและได้เสียดินแดนจำนวนมากให้กับสหรัฐฯ ต่อมาช่วงปี ค.ศ.1861 เม็กซิโกประสบภาวะหนี้สิน จึงประกาศพักชำระหนี้ ทำให้ฝรั่งเศสประเทศเจ้าหนี้สำคัญ ไม่พอใจและส่งกองทหารเข้ามายึดครองเม็กซิโก และได้แต่งตั้งให้ Archduke Ferdinand Maximillian ราชวงศ์ Hapsburg เป็นจักรพรรดิปกครองเม็กซิโก ในปี ค.ศ. 1867 เม็กซิโกได้รับเอกราชคืนจากฝรั่งเศส และหลังจากนั้น ได้มีการปฏิวัติกันเพื่อต่อต้านผู้ปกครองที่ยึดอำนาจเผด็จการหลายครั้ง จนสามารถจัดให้มีการเลืองตั้งอย่างเป็นประชาธิปไตยจนถึงปัจจุบัน

1.7 เชื้อชาติ ประชากรเชื้อสายเมสติโซ (ซึ่งเป็นเชื้อสายเลือดผสมคนพื้นเมืองกับผู้อพยพจากสเปน) ประมาณร้อยละ 60 คนพื้นเมือง ร้อยละ 30 คนเชื้อสายจากยุโรป ร้อยละ 6 และที่เหลือเป็นชาวเอเชียและแอฟริกาที่อพยพย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมาอยู่ที่เม็กซิโก

1.8 ศาสนา โรมันคาทอลิก ร้อยละ 89 และโปรเตสแตนท์ ร้อยละ 6 โดยเม็กซิโกได้รับอิทธิพลทางศาสนาจากสเปน อย่างไรก็ตามความเชื่อโบราณก็ยังฝั่งรากอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีของคนเม็กซิกัน

1.9 ภาษา คนเม็กซิโกมีภาษาท้องถิ่นที่ใช้หลายภาษาราว 60 ภาษา แต่มีภาษาทางราชการเป็นภาษาสเปน

1.10 ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ โดยแบ่งเป็น 31 มลรัฐและ 1 เขตปกครอง มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุก 6 ปี และมีระบบสภา 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฏร แต่ละมลรัฐมีการเลือกผู้ว่ารัฐของตนเอง

1.11 ระบบคมนาคมขนส่งภายในประเทศ  เม็กซิโกมีชายแดนติดกับประเทศสหรัฐอเมริกายาว 3,152 กิโลเมตร มีแม่น้ำสำคัญคือ Rio Lerma ลักษณะของประเทศจากตอนเหนือจรดใต้มีระยะทางห่างไกล ทำให้เม็กซิโกต้องการระบบขนส่งต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเดินทางและขนถ่ายสินค้าทั้งทางรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน และเรือ

2. ข้อมูลพื้นฐานเศรษฐกิจโดยทั่วไป
2.1 ข้อมูลพื้นฐานของประเทศเม็กซิโก

ประเทศเม็กซิโกเป็นสมาชิกกลุ่มเศรษฐกิจ OECD และเป็นเศรษฐกิจอันอับที่ 11 ของโลก (ระหว่างอิตาลีและเกาหลีใต้) ผลผลิตแห่งชาติรวม 1,661 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (เกือบ 3 เท่าของผลผลิตรวมของไทย) เม็กซิโกเป็นผู้ผลิตน้ำมันที่สำคัญเป็นอันดับ 7 ของโลก ในปริมาณประมาณ 3 ล้านเบเรลต่อวัน การส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 15 ของโลก ในปริมาณประมาณ 1.5 ล้านเบเรลต่อวัน รายได้เงินตราต่างประเทศที่สำคัญมาจากการส่งออกน้ำมัน (ประมาณ 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2011) การส่งออกรถนยต์ (2.6 หมื่นล้านเหรียญฯ) การส่งเงินกลับจากต่างประเทศ (2.23 หมื่นล้านเหรียญฯ) และการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ (1.3 หมื่นล้านเหรียญฯ)

เม็กซิโกฟื้นตัวจากภาวะวิกฤตการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2009 ได้ค่อนข้างรวดเร็ว โดยในปี 2010 เศรษฐกิจของเม็กซิโกได้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.4 และในปี 2011 ในอัตราร้อยละ 3.8 โดยการส่งออก (โดยเฉพาะรถยนต์) ไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และการกระจายการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ เป็นสาเหตุของการฟื้นตัวที่สำคัญ สำหรับปี 2012 นี้ คาดว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกจะมีการขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.6

รัฐบาลชุดปัจจุบันของประธานาธิบดีคาลเดรอน ได้ดำเนินนโยบายเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเศรษฐกิจเม็กซิโก โดยดำเนินการปฏิรูปนโยบายด้านพลังงานในปี ค.ศ. 2008 และปฏิรูปนโยบายด้านการเงินในปี 2009 ได้เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ปรับปรุงระบบเงินสะสมบำนาญ รวมทั้งได้มีการชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งการลงทุนโดยรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการปรับปรุงระบบการศึกษา 

ประเด็นปัญหาใหญ่ในช่วงการครองตำแหน่งประธานาธิบดีคาลเดรอนที่เป็นจุดลบสำคัญ คือการต่อสู้เพื่อปราบปรามยาเสพติดที่นับวันได้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น และไม่ประสบความสำเร็จในการควบคุมการขยายอำนาจในพื้นที่ทั่วประเทศของกลุ่มเจ้าพ่อค้ายาเสพติดต่างๆ 

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีวาระใหม่ โดยนักวิเคราะห์การเมืองหลายฝ่ายได้คาดว่า พรรค PRI (Partido Revolucionario Nacional) ซึ่งเป็นผู้ที่กุมอำนาจในเม็กซิโกมาแต่เดิมร่วม 70 กว่าปี ก่อนที่พรรค PAN จะชนะการเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งได้สองสมัยที่ผ่านมา จะชนะการเลือกตั้งรอบใหม่นี้ เนื่องจากผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรค PRI นาย Peña Nieto ได้รับความนิยมมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เข้ารับดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเม็กซิโกคนใหม่ จะต้องดำเนินการปฎิรูปด้านพลังงานและโครงสร้างเศรษฐกิจต่อไป เนื่องจากเม็กซิโกยังคงพึ่งรายได้จากการส่งออกน้ำมันมากเกินไป ในขณะที่แหล่งน้ำมันของเม็กซิโกเริ่มมีผลผลิตน้อยลง อนาคตของเศรษฐกิจเม็กซิโกต้องมีการขยายฐานรายได้ให้มั่นคงมากขึ้น

2.2 เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ

ในปี 2010 เม็กซิโกมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจำนวน 116.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ

2.3 โครงสร้างการผลิตภายในประเทศ

สัดส่วนความสำคัญของภาคเศรษฐกิจต่างๆ ในผลผลิตมวลรวมประชาชาติของเม็กซิโก มาจากภาคการบริโภคในสัดส่วนร้อยละ 26.5 ภาคธุรกิจบริการร้อยละ 20 ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 17.8 ภาคการเงินและประกันภัยร้อยละ 12.8 ภาคการขนส่งร้อยละ 10.3 ภาคการก่อสร้างร้อยละ 5.4 ภาคการเกษตรร้อยละ 3.8 และภาคเหมืองแร่ร้อยละ 1.4

2.4 ข้อมูลด้านการลงทุนในประเทศ

การลงทุนจากต่างประเทศในเม็กซิโกเม็กซิโกระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1999-2009 มีความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ โดยเม็กซิโกประสบภาวะวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ 2 ช่วง อย่างไรก็ตาม ปี ค.ศ. 2001 และ 2007 เป็นปีที่เม็กซิโกได้รับเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามากที่สุด ในมูลค่าเกือบ 3 หมื่นล้าน และ 2.7 หมื่นล้านเหรียญตามลำดับ ส่วนปีที่ได้รับการลงทุนต่ำสุด นั่นคือ น้อยกว่าปีละ 2 หมื่นล้านเหรียญ คือปี ค.ศ. 1999, 2000, 2003, 2006 และ 2009

รายงานเศรษฐกิจของข่าวกรองสหรัฐฯ (CIA Factbook) ได้รายงานมูลค่าการลงทุนต่างประเทศรวมในเม็กซิโกในสิ้นปี ค.ศ 2011 ว่า มีมูลค่ารวม 321,500 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดเป็นอันดับเงินลงทุนต่างประเทศสะสมภายในประเทศอันดับที่ 17 ของโลก โดยเม็กซิโกได้รับเงินลงทุนต่างประเทศในปี 2010 รวมมูลค่า 17.7 พันล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2009 เล็กน้อย

การลงทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ ประมาณ 86.78 % เป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคบริการการเงิน และการค้า และมีแหล่งการลงทุนมาจากสหรัฐประมาณ 57.5% และจากสหภาพยุโรป 34.1% (สเปนและเนเธอร์แลนด์)

ประเทศเม็กซิโกมีโครงการส่งเสริมการลงทุนแยกเป็น 2 โครงการ ได้แก่

  • โครงการ Maquila เพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อการส่งออก โดยหากผู้ลงทุนผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกคิดเป็นเพียง 10% ของผลผลิตของโรงงานก็จะสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ โดยเมื่อเข้าโครงการแล้วผู้ลงทุนไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบ และเครื่องจักรเหมือนเป็น Bonded warehouse
  • โครงการ PROSEC เป็นการสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรม 22 สาขาเพื่อให้เม็กซิโกสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าได้ โดยโรงงานสามารถนำเข้าวัตถุดิบในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราภาษีนำเข้าปกติได้จำนวนกว่า 16,000 รายการ
  • ทั้งนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เม็กซิโกได้พยายามส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศทั้งโดยการเปิดเสรีทางการค้า การลงนามความตกลงด้านภาษีซ้อน และการปกป้องด้านการลงทุนกับต่างประเทศ ซึ่งเม็กซิโกได้เปิดให้มีการลงทุนโดยเสรีในเกือบทุกแขนง ยกเว้นบางอุตสาหกรรม และบางธุรกิจบริการที่เป็นสมบัติของรัฐ อาทิ
  • กิจการที่สงวนไว้สำหรับรัฐบาล อาทิ Petroleum, Petrochemical, Electricity, Nuclear Energy, Radioactive, Postal Service, Control for ports and airport
  • กิจการที่จำกัดสำหรับคนเม็กซิกันเท่านั้น อาทิ Gasoline Retailing, Tourist Transport Service, Television, Radio, Development Bank
  • กิจการที่จำกัดสัดส่วนการลงทุนของต่างชาติไม่เกิน 49% อาทิ Domestic Air Transportation, Air Taxi Service, Insurance Companies, General Deposit Warehouse, Financial Leasing Company, Manufacturer of Fire Arms, Printing Newspaper, Fresh Water Fishing, Sea Water Fishing, Port Service, Shipping Company, Private Education, Construction of Pipe line for Petroleum
  • อนึ่งในด้านการถือครองที่ดิน ต่างชาติมีสิทธิในการถือครองที่ดินได้ ยกเว้นไว้เฉพาะพื้นที่ในรัศมี 100 กม. จากพรมแดน และรัศมี 50 กม. จากพื้นที่ที่ติดกับชายทะเล จะไม่อนุญาตให้ต่างชาติถือครอง
3. ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศของเม็กซิโก
3.1 ภาพรวมสถานการณ์ทางการค้าของประเทศเม็กซิโก

ประเทศเม็กซิโกได้ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจตกต่ำหลายครั้งในปี คศ. 1980,1994 และ 2008 ทั้งนี้เนื่องจากพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบ และการส่งออกไปยังสหรัฐฯเป็นตลาดสำคัญเพียงตลาดเดียว ทำให้เม็กซิโกต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายมาเปิดประเทศมากขึ้น เพื่อหาเงินตราจากต่างประเทศ โดยกำหนดนโยบายเปิดประเทศ ได้แก่

  • เม็กซิโกได้เข้าร่วม GATT ในปี 1986
  • การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ อาทิ การขนส่ง การคมนาคม ฯลฯ
  • การทำความตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ทำให้ประเทศเม็กซิโกมีระบบเศรษฐกิจแบบเปิด โดยมีการทำความตกลงการค้าเสรีจำนวน 12 ฉบับครอบคลุม 43 ประเทศ ได้แก่ ชิลี NAFTA สหภาพยุโรป เวเนซูเอล่า โคลัมเบีย คอสตาริก้า โบลีเวีย นิการากัว อิสลาเอล กลุ่ม EFTA กลุ่ม North Triangle (กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส) อุรุกวัย และญี่ปุ่น
  • การเข้าร่วมทำความตกลงเป็นสมาชิกในระดับพหุภาคี อาทิ WTO , APEC, OECD, FTAA
3.2 สินค้าส่งออก/สินค้านำเข้าหลักของประเทศเม็กซิโก


สินค้าส่งออกที่สำคัญของเม็กซิโก ได้แก่ น้ำมันดิบ การส่งออกในปี ค.ศ. 2011 มูลค่า 49,249 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบได้เป็นร้อยละ 12 ของการส่งออก รองลงมาได้แก่ รถยนต์ มูลค่า 26,844 ล้านเหรียญฯ ตามด้วยโทรทัศน์ ชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เส้นลวด ทอง ฯลฯ 

ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันที่กลั่นแล้ว ชิ้นส่วนรถยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ข้าวโพด และยา


3.3 ประเทศคู่ค้าสำคัญด้านการนำเข้า/ส่งออก

เม็กซิโกมีมูลค่าการส่งออกในปี ค.ศ. 2011 รวม 349,567 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2010 ร้อยละ 17.21โดยมีการส่งออกสำคัญไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 274,712 ล้านเหรียญฯ สัดส่วนร้อยละ 78.59 ของการส่งออกรวม รองลงมาเป็นการส่งออกไปยังแคนาดา มูลค่า 10,673 ล้านเหรียญฯ สัดส่วนร้อยละ 3.65 และจีน มูลค่า 5,965 ล้านเหรียญฯ สัดส่วนร้อยละ 0.97

เป็นที่น่าสังเกตว่า เม็กซิโกได้มีการส่งออกไปยังประเทศโคลัมเบียเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 49.72 โดยมีมูลค่าการส่งออกใกล้เคียงกับการส่งออกไปยังประเทศจีน นอกจากนี้แล้ว ยังมีการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในปริมาณที่น่าสนใจ ซึ่งได้แก่ การส่งออกเพิ่มขึ้นไปยังประเทศอินเดีย ที่ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.31 บราซิล ร้อยละ 29 อังกฤษ ร้อยละ 24 และเยอรมันร้อยละ 21.5 เป็นต้น





3.4 นโยบาย/มาตรการทางการค้า ทั้งภาษีและไม่ใช่ภาษี

เม็กซิโกเก็บภาษีรายได้บุคคลหัก ณ ที่ จ่าย ร้อยละ 35 ภาษีกำไรธุรกิจ ร้อยละ 35 หรือ ภาษีทรัพย์สิน ร้อยละ 2 และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 16 สำหรับภาษีการนำเข้ามีแตกต่างไปหลายอัตรา ต้องทำการตรวจสอบภาษีนำเข้าเป็นรายสินค้าเฉพาะกับกระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโก

ตลาดเม็กซิโกถือเป็นตลาดใหม่สำหรับประเทศไทย ในช่วง ม.ค. – พ.ย. 2550 ที่ผ่านมาการขยายตัวการส่งออกของไทยมายังตลาดเม็กซิโกสูงขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามประเทศเม็กซิโกนับว่าเป็นประเทศที่มีมาตรการกีดกันการนำเข้าที่มิใช่ภาษีที่ค่อนข้างมาก ก่อให้เกิดความยุ่งยากแก่ผู้ส่งออกและผู้นำเข้า

ที่ผ่านมาสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโกได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นระยะจากผู้นำเข้าเม็กซิโกและผู้ส่งออกไทยในกรณีที่สินค้าส่งไปถึงท่าเรือเม็กซิโกแล้วไม่สามารถผ่านพิธีการศุลกากรในหลายกรณี อาทิ เอกสารไม่ครบถ้วน ไม่มีเอกสารสำคัญประกอบการนำเข้า ข้อมูลในเอกสารไม่ถูกต้องตรงตามประเภทสินค้า สาเหตุต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผู้นำเข้าต้องจ่ายค่าโกดังสินค้าเพิ่มเติม และบางครั้งต้องส่งสินค้ากลับไปยังประเทศไทย ซึ่งเป็นผลเสียหายต่อผู้ส่งออกไทย และเป็นผลในด้านลบต่อผู้นำเข้าไม่กล้าจะนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยอีก แนวทางที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และแก้ไขปัญหาที่น่าจะทำได้ดีที่สุดคือการให้ความรู้แก่ผู้ส่งออกให้มีความเข้าใจในระบบและระเบียบการนำเข้าของเม็กซิโกในเบื้องต้น และคอยเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบของเม็กซิโก โดยสอบถามจากผู้นำเข้า และสามารถสอบถามจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโกที่จะช่วยแนะนำได้อีกทางหนึ่ง

การใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีของประเทศเม็กซิโกซึ่งสามารถแยกได้เป็น 12 มาตรการมาเพื่อทราบ ได้แก่

  • มาตรการการจดทะเบียนผู้นำเข้าสินค้า (Padron de Importadores)
  • มาตรการด้านมาตรฐานสินค้า
  • มาตรการด้านสุขอนามัย
  • มาตรการแหล่งกำเนิดสินค้า
  • มาตรการสินค้าห้ามนำเข้า
  • มาตรการสินค้าควบคุม
  • มาตรการโควต้านำเข้า
  • มาตรการด้านเอกสารการนำเข้า
  • มาตรการราคาประเมินสินค้าขั้นต่ำ
  • มาตรการการนำเข้าตัวอย่างสินค้า
  • มาตรการป้ายสลากสินค้า
  • มาตรการขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากร

3.5 ความร่วมมือทางการค้ากับต่างประเทศ

เม็กซิโกมีการทำความตกลงการค้าเสรีจำนวน 12 ฉบับครอบคลุม 43 ประเทศ ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีเป็นกลุ่ม คือ เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป เขตการค้าเสรีกับกลุ่ม EFTA (ไอซแลนด์ ลีค์เต็นสไรน์ นอร์เวย์และสวิสเซอร์แลนด์) กลุ่ม North Triangle (กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส) ความตกลงเขตการค้าเสรีรายประเทศ มีประเทศชิลี เวเนซูเอล่า โคลัมเบีย คอสตาริก้า โบลีเวีย นิการากัว อิสลาเอล อุรุกวัย และญี่ปุ่น ขณะนี้อยุ่ระหว่างการเจรจาเขตการค้าเสรีกับประเทศเปรู แต่โดยหลักการแล้วในปัจจุบันกระทรวงเศรษฐกิจของเม็กซิโกได้แจ้งท่าที ไม่ประสงค์จะเจราจาความตกลงเขตการค้าเสรีเพิ่มเติมไปมากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน

4. ข้อมูลทางการค้ากับประเทศไทย
4.1 ภาพรวมสถานการณ์/ ความสัมพันธ์ทางการค้ากับไทย

ไทยและเม็กซิโกมีมูลค่าการค้าระหว่างกันในปี 2553 มูลค่า 1,366 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปี 2552 ร้อยละ 45 โดยการส่งออกคิดเป็นมูลค่า 967 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนาเข้า 399 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และไทยเป็นฝ่ายเกินดุลการค้ากับเม็กซิโกมูลค่า 568 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

4.2 สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปยังประเทศเม็กซิโก และสินค้าหลักที่ไทยนำเข้าจากประเทศเม็กซิโก

ในปี ค.ศ. 2011 การส่งออกจากไทยไปยังเม็กซิโกมีมูลค่า 1,277 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2010 ร้อยละ 32.06 สินค้าส่งออกสาคัญของไทยไปยังเม็กซิโกสิบรายการแรก ได้แก่ เครื่องคิดเลข รถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์และส่วนประกอบ หม้อแปลงไฟฟ้าและชิ้นส่วน หัวเทียนสำหรับรถยนต์ เครื่องแฟกซ์และโทรศัพท์ ผลิตภัณฑ์ยาง เสื้อผ้าสาเร็จรูป วิทยุและโทรทัศน์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และแผงวงจรอีเล็กตรอนนิกส์

ในปี ค.ศ. 2011ไทยนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกมูลค่า 605 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากจากปี 2010 ร้อยละ 51.84 สินค้านำเข้าที่สาคัญสิบรายการแรก ได้แก่ เครื่องประดับอัญมณีรวมทั้งเงินและทองคำแท่ง เครื่องไฟฟ้าและส่วนประกอบ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน อาหารทะเลสดและแช่แข็ง อุปกรณ์สำหรับทดสอบทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และผลิตภัณฑ์สารเคมี




Monday, May 21, 2012

Food Demand in Mexico

รายงานความต้องการสินค้าอาหารในเม็กซิโก

เศรษฐกิจประเทศเม็กซิโกเป็นเศรษฐกิจอันดับที่ 11 ของโลก มีประชากรจำนวน 113 ล้านคน รายได้ประชาชาติประมาณ 1.56 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ รายได้ต่อหัว 13,800 เหรียญฯ ต่อคน การขยายตัวของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ อัตราร้อยละ 5.4 และ 3.8 ในปี ค.ศ. 2010 และปี 2011 ตามลำดับ เม็กซิโกมีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคละตินอเมริกา รองจากประเทศบราซิล และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา อันเป็นผลมาจากการเป็นภาคีความตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือหรือนาฟต้า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 เป็นต้นมา เม็กซิโกจึงมีการส่งออกและการนำเข้าจากสหรัฐฯ และแคนาดาในสัดส่วนที่สูง ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญของเม็กซิโก ได้แก่ การส่งออกน้ำมัน การผลิตและส่งออกรถยนต์ การท่องเที่ยว รวมทั้งการผลิตสินค้าอุปโภคในหลายระดับ แต่เนื่องจากเม็กซิโกมีพื้นที่การเพาะปลูกจำกัด และภาคเกษตรของเม็กซิโกขาดประสิทธิภาพ บริษัทผู้ผลิต-ส่งออกและจำหน่ายสินค้าอาหารที่สำคัญของสหรัฐฯ และแคนาดา ล้วนมีโครงสร้างการผลิต-การลงทุน-การจัดจำหน่ายที่เชื่อมโยงกับบริษัทต่างๆ ในเม็กซิโกอย่างใกล้ชิด จึงมีการนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารจากสหรัฐฯ และแคนาดาหลายอย่างในปริมาณสูง เช่น ข้าวโพด มะเขือเทศ เนื้อสัตว์ ธัญพืช และอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น ทั้งนี้ เม็กซิโกเป็นผู้นำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารอันดับที่ 13 ของโลก 

ตลาดสินค้าอาหารในเม็กซิโกยังคงมีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่สูงในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากการเศรษฐกิจของเม็กซิโกยังมีโอกาสการขยายตัวได้อีกมาก รวมทั้งการพัฒนารายได้ของประชากร การพัฒนาโครงสร้างการกระจายสินค้าอาหารในร้านค้าประเภทซุปเปอร์มาร์เก็ต โกรเซอรรี่ และเครือข่ายแฟรไชค์คอนวีเนียนซ์สตอร์ ล้วนเป็นตัวกระตุ้นการบริโภคสินค้าอาหารในลักษณะที่มีความหลากหลายมากขึ้น 

สถาบันวิจัยตลาด Business Monitor International ได้คาดคะเนว่า แนวโน้มตลาดสินค้าอาหารของเม็กซิโกจากปี ค.ศ. 2011 ถึง 2015 จะมีอัตราการขยายตัวของการบริโภคอาหารต่อหัวของชาวเม็กซิกันในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี การขยายตัวของความต้องการเครื่องดื่มประเภทแอกอฮอล์ ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี การขยายตัวความต้องการของน้ำอัดลมในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี และการขยายตัวของยอดขายสินค้าอาหารในร้านโกรเซอรี่ในอัตราร้อยละ 7 ต่อปี


ภาวะความต้องการสำหรับข้าว ข้าวโพด และธัญญพืช 

เม็กซิโกมีความต้องบริโภคข้าวประมาณ 8 แสนถึง 1 ล้านตันต่อปี แต่มีความสามารถผลิตได้เพียง ประมาณ 3 แสนตันต่อปี จึงต้องนำเข้าในส่วนที่ขาดความต้องการ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ในปีการผลิต 2011 เม็กซิโกมีผลผลิตข้าวน้อยมาก ประมาณ 157,000 ตัน เนื่องจากบริษัทโรงสีข้าวสำคัญรายหนึ่งของเม็กซิโกได้ล้มละลายเลิกกิจการไป ทำให้ผู้ผลิตข้าวไม่สามารถขอเงินกู้เพื่อทำการเพาะปลูก ในปี 2011 ม็กซิโกได้มีการนำเข้าข้าว 9.46 แสนตัน มูลค่า 377 ล้านเหรียญฯ เป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นสำคัญในสัดส่วนร้อยละ 95 แหล่งนำเข้าข้าวอื่นๆ ของเม็กซิโก ได้แก่ อุรุกัว ปากีสถาน อิตาลี ไทย อาร์เจนตินา จีน และอินเดีย เม็กซิโกได้มีการนำเข้าข้าวจากไทยในปริมาณที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 เป็นต้นมา ในปี ค.ศ. 2011 เม็กซิโกได้นำเข้าข้าวจากไทยปริมาณ 204,628 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2010 ในสัดส่วนร้อยละ 8.7 

ส่วนผลผลิตข้าวโพด ซึ่งเป็นอาหารหลักของเม็กซิโก ได้มีผลผลิตที่น้อยลงในปี 2011 เนื่องจากภาวะอากาศแห้งแล้ง ผลผลิตของปี 2011 มีประมาณ 18.4 ล้านตัน และคาดว่าในปี 2012 เม็กซิโกจะมีความต้องการนำเข้าข้าวโพดเพิ่มขึ้นเป็น 10.5 ล้านตัน เม็กซิโกได้นำเข้าข้าวโพด 9.4 ล้านตัน มูลค่า 2.9 พันล้านเหรียญฯ ในปี 2011 เป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนร้อยละ 88 ซึ่งได้ลดลงจากปีก่อน โดยได้มีการนำเข้าจากแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนร้อยละ 11 ปริมาณการนำเข้าข้าวโพดจากแอฟริกาใต้ 9.4 แสนตัน มูลค่า 330 ล้านเหรียญสหรัฐ 

ถั่วแห้งเป็นอาหารหลักที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของเม็กซิโก โดยผลผลิตของถั่วแห้งในปี 2011 มีปริมาณ 1.12 ล้านตัน การผลิตค่อนข้างจะเพียงพอกับความต้องการบริโภคภายใน โดยจะมีการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในส่วนที่ขาดแคลนประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณความต้องการรวม เพื่อเป็นอุปทานสำรองและเพื่อการปรับระดับราคา 

เม็กซิโกเป็นผู้ผลิตข้าวฟ่างอันดับสี่ของโลก แต่ในขณะเดียวกันเป็นผู้นำเข้าข้าวฟ่างจากสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก ผลผลิตข้าวฟ่างของเม็กซิโกในปี 2011 ได้รับผลกระทบจากภาวะอากาศแห้งเช่นกัน และคาดว่าจะมีปริมาณการผลิต 6.1 ล้านตัน ในปี 2011 เม็กซิโกได้นำเข้าข้าวฟ่างปริมาณ 2.4 ล้านตัน มูลค่า 688 ล้านเหรียญฯ 

อาหารประเภทเนื้อสัตว์

เม็กซิโกเป็นผู้ส่งออกเนื้อสัตว์อันดับ 8 ของโลก ในปี 2011 มีมูลค่าการส่งออกเนื้อสัตว์รวมประมาณ 957 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกเนื้อหมูสดหรือแช่แข็ง 323 ล้านเหรียญฯ เนื้อวัวสดหรือแช่นเย็น 320 ล้านเหรียญฯ และเนื้อวัวแช่แข็ง 212 ล้านเหรียญฯ ตลาดการส่งออกเนื้อสัตว์ที่ของสำคัญของเม็กซิโก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐฯ รัสเซีย เกาหลี และยุโรปเป็นสำคัญ 

ภูมิประเทศของเม็กซิโกมีความเหมาะสมแก่การเลี้ยงปศุสัตว์ โดยครึ่งหนึ่งของพื้นที่ของเม็กซิโกเป็นพื้นที่ๆ ใช้สำหรับการเลี้ยงปศุสัตว์ นั่นคือ 156 ล้านเฮกเตอร์ ในปี ค.ศ. 2007 เม็กซิโกมีโควัวประมาณ 23 ล้านหัว แกะ 7 ล้านหัว แพะ 4 ล้าน และม้า 2 ล้านตัว 

ชาวเม็กซิกันมีอัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ต่อหัวจำแนกได้ดังนี้ การบริโภคเนื้อวัวต่อหัว (per capita consumption) 17 กิโลกรัม การบริโภคเนื้อหมูต่อหัว 15 กิโลกรัม การบริโภคเนื้อไก่ต่อหัว 31 กิโลกรัม สำนักงานสถิติแห่งชาติเม็กซิโกได้รายงานว่า ชาวเม็กซิกันจะใช้รายได้เพื่อการซื้ออาหารประมาณร้อยละ 34 ของรายได้ จากส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารนั้น จะมีสัดส่วนการซื้อเนื้อไก่ร้อยละ 28 และร้อยละ 15 เพื่อซื้อเนื้อสำเร็จรูปประเภทต่างๆ เช่น แฮน ใส้กรอก ฯลฯ 

การเลี้ยงหมูและการผลิตเนื้อหมูและผลิตภัฑ์จากเนื้อหมูในประเทศเม็กซิโก ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา เนื่องจากได้มีการนำเทคโนโลยีมาพัฒนากิจกรรมในภาคการเลี้ยงหมูและการผลิตเนื้อหมู ความตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ได้มีผลส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงทางการตลาดในอุตสาหกรรมหมูของสหรัฐฯ และเม็กซิโกมากขึ้น ประเทศเม็กซิโกมีความสามารถผลิตเนื้อหมูได้ประมาณ 1 ล้านเมตริกตันต่อปี แต่ยังคงต้องมีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ เนื่องจากมีปริมาณการการบริโภคประมาณ 1.5 ล้านเมตริกตันต่อปี 

อาหารทะเล

กิจการการประมงของเม็กซิโกนับว่ามีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่ามวลรวมประชาชาติ (GDP) โดยคิดเป็นเพียงร้อยละ 0.8 ของผลผลิตแห่งชาติเท่านั้น และคาดว่ามีแรงงานในภาคการประมงนี้ราว 268,727 คน จำนวนเรือประมง เรือประมงประมาณ 106,428 ลำ เม็กซิโกมีการจับสัตว์น้ำได้ราว 1.5 ล้านเมตริกตันต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นการจับตามธรรมชาติ และร้อยละ 10 มาจากการเพาะเลี้ยง ในการจับจากธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นการจับมาจากมหาสุมทรฝั่งแปซิฟิก คิดเป็นร้อยละ 78 ซึ่งจะพบปลาซาร์ดีนชุกชุม เฉพาะในบริเวณอ่าวแคลิฟอร์เนีย ส่วนในน่านน้ำอ่าวเม็กซิโกจะสามารถจับสัตว์น้ำได้ถึง 500,000 เมตริกตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 33 ของการจับสัตว์น้ำทั้งหมด โดยปลาที่จับได้ในบริเวณนี้ ได้แก่ ปลาซาร์ดีน ปลา anchovetas และกุ้ง อนึ่ง สำหรับทางฝั่งแอตแลนติกแถบอ่าวเม็กซิโกนั้น จะไม่ค่อยมีแหล่งจับสัตว์น้ำตามธรรมชาติ เนื่องจากมีปัญหาการแย่งชิงน่านน้ำกับบริษัทขุดเจาะน้ำมัน ทั้งนี้รัฐบาลเม็กซิโกพยายามสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้ง โดยใช้พื้นที่ทางเหนือแถบรัฐ Tamaulipas ที่ติดกับรัฐ Texas 

คนเม็กซิโกบริโภคอาหารสัตว์น้ำราว 10 - 14 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยส่วนใหญ่จะนิยมบริโภคเนื้อวัว และหมูมากกว่าราว 39.4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี อย่างไรก็ตามปลาที่คนเม็กซิกันนิยมบริโภคได้แก่ ปลานิล กุ้ง และปลาหมึก 

ในปี 2011 เม็กซิโกได้ส่งออกอาหารทะเลมูลค่ารวม 944 ล้านเหรียญสหรัฐ ร้อยละ 44 เป็นการส่งออกอาหารทะเลประเภทที่มีเปลื่อกแข็งมูลค่า 414 ล้านเหรียญฯ ร้อยละ 16 เป็นปลาแช่แข็งมูลค่า 155 ล้านเหรียญ ร้อยละ 13 เป็นปลาสด มูลค่า 119 ล้านเหรียญฯ และร้อยละ 21 เป็นอาหารทะเลประเภทอื่นๆ มูลค่า 206 ล้านเหรียญฯ เป็นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนร้อยละ 55 และยุโรปและเอเชียรองลงมา ส่วนการนำเข้าอาหารทะเลมีน้อยกว่าการส่งออก ในปี 2011 เม็กซิโกได้มีการนำเข้าอาหารทะเลรวม 482 ล้านเหรียญฯ เป็นการนำเข้าเนื้อปลาเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 57 มูลค่า 276 ล้านเหรียญฯ โดยเป็นการนำเข้าจากจีนร้อยละ 43 มูลค่า 117 ล้านเหรียญฯ และจากเวียดนามร้อยละ 37 มูลค่า 102 ล้านเหรียญฯ 

โภคภัณฑ์สำคัญ: น้ำตาลและกาแฟ 

เม็กซิโกเป็นประเทศผู้ที่มีสิทธิส่งออกน้ำตาลไปยังสหรัฐฯ ที่ไม่มีข้อจำกัดด้านโควต้า และได้รับสิทธิการยกเว้นภาษีนำเข้าตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี NAFTA จึงเป็นแหล่งนำเข้าน้ำตาลสำคัญแหล่งหนึ่งสำหรับสหรัฐฯ เม็กซิโกมีความสามารถในการเพาะปลูกอ้อยเพื่อการผลิตน้ำตาลในปริมาณระหว่าง 60-70 ตันต่อเฮ็กเตอร์ ซึ่งจัดเป็นผู้มีสมรรถภาพในการผลิตน้ำตาลอันดับ 13 ของโลก และในปี 2011 มีผลผลิตน้ำตาลประมาณ 5.65 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่ใกล้เคียงกับความต้องการของตลาดภายในประเทศ ที่มีการบริโภคน้ำตาลจากอ้อยประมาณ 5 ล้านตัน และความต้องการน้ำตาลสังเคราะห์อีก 800,000 ล้านตัน เม็กซิโกมีการส่งออกน้ำตาลประมาณ 400,000 ล้านตัน และนำเข้าน้ำตาลเพื่อป้อนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกในโครงการ INMEX จำนวน 200,000 ล้านตัน อุตสาหกรรมน้ำตาลของเม็กซิโกมีการจ้างงานโดยตรงประมาณ 440,000 คน และสร้างานโดยทางอ้อมได้อีกประมาณ 2.5 ล้านคน แต่รายได้จากภาคอุตสาหกรรมน้ำตาลมีสัดส่วนต่อรายประชาชาติเพียงร้อยละ 0.06 

กาแฟ: ในปี ค.ศ. 011 เม็กซิโกส่งออกกาแฟ (รหัส HS 0901)โดยรวมมูลค่า 692 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 117,838 ตัน เป็นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนร้อยละ 67 มูลค่า 461 ล้านเหรียญฯ รองลงมาได้แก่ การส่งออกไปยังประเทศเบลเยี่ยมมูลค่า 40 ล้านเหรียญฯ 

ผักและผลไม้

ประเทศเม็กซิโกเป็นผู้ผลิตสับปะรดสดเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ในปริมาณ 540,000 ตันต่อปี ในพื้นที่การเพาะปลูก 10,500 เฮ็กเตอร์ต่อปี ในปี 2537 ได้มีการนำเข้าสับปะรดประมาณมากที่สุด 18, 320 ตัน แต่ได้ลดลงระหว่างปี 2539 ถึง 2543 ปริมาณนำเข้าระหว่าง 533-806 ตัน และได้เพิ่มขึ้นในปี 2543 เป็น 1,367 ตัน มูลค่าเกือบล้านเหรียญสหรัฐฯ 

ในระหว่างปี คศ. 1960-1980 รัฐบาลของเม็กซิโกได้พยายามส่งเสริมการขยายการปลูกผลไม้ในเชิงพาณิชย์หลากหลายชนิด เพื่อทดแทนการปลูกกาแฟที่มีราคาตกต่ำ โดยการรณรงค์การเพาะปลูกลิ้นจี่ maracuyá และ macademia พื้นที่การเพาะปลูกลิ้นจี่มีประมาณ 1.82 ล้านตารางเมตร ปัจจุบันเป็นการปลูกเพื่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นสำคัญและมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมาก 

สัปปะรดกระป๋อง

ประเทศเม็กซิโกเป็นผู้ผลิตสับปะรดสดเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ในปริมาณ 540,000 ตันต่อปี ในพื้นที่การเพาะปลูก 10,500 เฮ็กเตอร์ต่อปี ซึ่งมีสัดส่วนเพื่อการบริโภคภายประเทศในลักษณะผลไม้สดร้อยละ 70 อีกร้อยละ 23-25 เป็นเพื่อการผลิตน้ำสับปะรด และร้อยละ 5-7 เพี่อการส่งออกในลักษณะผลไม้สดไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและแคนาดา 

ตลาดเครื่องดื่มและการบรรจุขวด: ตลาดการขายเครื่องดื่มในเม็กซิโกเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และได้มีคาดคะเนว่าปริมาณการบริโภคน้ำขวดในเม็กซิโกในปี ค.ศ. 2013 จะมีปริมาณ 67.5 พันล้านลิตร มูลค่าของตลาดประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ เครื่องดื่มที่มีความสำคัญที่สุด ได้แก่ น้ำเปล่าบรรจุขวดและรองลงมาได้แก่เบียร์ ช่องทางการขายที่สำคัญได้แก่ ร้านขายปลีกเครื่องดื่มในลักษณะเป็น convenience store ที่มีกว่า 700,000 แห่งทั่วประเทศ และบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการครองครองตลาดดังกล่าวได้แก่ กลุ่ม FEMSA และกลุ่ม Modelo ซึ่งครองตลาดรวมกันได้ร้อยละ 90 ของตลาดเครื่องดื่มทั้งหมด 

ตลาดสินค้าอาหารสำเร็จรูป

การพัฒนาการกระจายสินค้าอาหาร และภาวะวิกฤตการณ์เศรษฐกิจได้เป็นปัจจัยหันความสนใจของแม่บ้านชาวเม็กซิกัน ให้มานิยมการซื้ออาหารสำเร็จรูปราคาถูกมากขึ้น การซื้ออาหารกระป๋อง เช่น ถั่วบรรจุกระป๋อง และปลาทูน่ากระป๋อง ให้ความสะดวกสบายและประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำอาหาร แม้กระทั่ง ผักและผลไม้กระป๋องก็มีสัดส่วนของตลาดที่สำคัญ แต่ตลาดสินค้าอาหารกระป๋องเป็นตลาดที่ผู้ผลิตภายในประเทศครองตลาด และมีการแข่งขันสูง ไม่มีบริษัทใดครองตำแหน่งตลาดได้เกิดร้อยละ 15 โดยเม็กซิโกมีบริษัทผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปที่สำคัญประมาณ 6 บริษัท บริษัทที่สำคัญที่สุดได้แก่ บริษัท Grupo Herdez S.A. de C.V. ส่วนสินค้าอาหารกระป๋องนำเข้าจะมีมาจากสเปน เป็นจำพวกอาหารที่ใช้ในเทศกาล เช่น มะกอกกระป๋อง ปลาค้อด ปลาซาลมอน ปลาหมึกกระป๋อง เป็นต้น ผู้นำเข้าอาหารกระป๋องจากต่างประเทศที่สำคัญรายหนึ่ง คือ บริษัท Del Monte

Table 1. Mexico: Sales Volume of Processed Food Categories, in 1000 MT.
Processed Food Category
Quantity in 1000 MT
Bakery
14,927.48
Canned/Preserved Food
522.69
Chilled Processed Food
142.41
Confectionery
373.27
Dried Processed Food
946.53
Frozen Processed Food
136.25
Ice Cream (Million liters)
100.27
Meal Replacement
7.38
Noodles
119.11
Oils and Fats
877.99
Pasta
297.30
Ready Meals
32.93
Sauces, Dressings & Condiments
948.30
Snack Bars
33.35
Soup
34.35
Spreads
120.15
Sweet and Savory Snacks
373.54
Meal Solutions
1,870.35
                                               Source: Euromonitor