Google Website Translator

Thursday, July 31, 2008

China-Mexico Economic and Trade Cooperation

เม็กซิโกเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้ากับจีน

ประธานาธิบดีเม็กซิโก นาย Felipe Calderon ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน อย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 8-11 กรกฏาคม 2008 และได้มีการลงนามในความตกลง เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการค้า ทั้งหมด 6 ฉะบับ ตาม รายงานจากทำเนียบประธานาธิบดี

ความตกลงที่ได้ลงนาม ได้แก่
  1. ความตกลงทั่วไป ภายใต้ความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ 3 (Minutes of the Third Meeting of the Permanent Binational Commission)
  2. ความตกลงส่งผู้ต้องหาข้ามประเทศ (Extradition Treaty)
  3. ความตกลงเกี่ยวกับมาตรฐานการค้าเนื้อหมู (Protocol on Inspection, Quarantine and Veterinary Health Requirements for Pork Exports and Imports) ซึ่งคาดว่า จะมีผลช่วยให้เม็กซิโก สามารถส่งออกเนื้อหมู ไปยังประเทศจีนได้มากขึ้น
  4. ความร่วมมือแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคนิคด้านสวัสดิการสังคม (Technical Cooperation Agreement on Social Welfare between the Chinese Ministry of Civil Affairs and the Mexican Secretary of Social Development)
  5. ความร่วมมือ การลดภาวะยากจน (2008-2010 Cooperation Program, between the Chinese State Council Poverty Relief Office and Mexico's SEDESOL
  6. ความร่วมมือปกป้องการลงทุนทวิภาคี (Agreement on Reciprocal Promotion and Protection for Investments) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศจีน เพิ่มการลงทุนระหว่างทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ประธานาธิบดีเม็กซิโก ได้กล่าวต้อนรับการลงทุนจากประเทศจีน และประสงค์ให้การลงทุนจากจีนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ระหว่างปี 1999-2007 ประเทศจีนได้มีการลงทุนในเม็กซิโกจำนวนรวมเพียง 66 ล้านเหรียญ ทั้ง ๆ ที่การลงทุนในต่างประเทศของจีน ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะดังกล่าว โดยการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น จาก 36 ล้านเหรียญ ในปี 2006 เป็น 9.8 พันล้านเหรียญ ในปี 2007

บริษัท Bimbo ผู้ผลิตขนมปังรายใหญ่ที่สุดในเม็กซิโก ซึ่งมีเครือข่ายทั่วกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา ได้แสดงความสนใจ ที่จะไปลงทุนในประเทศจีน

นอกจากนี้แล้ว เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2008 กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโก ได้ ให้ข่าวว่า รัฐบาลเม็กซิโก ได้ตกลง จะค่อย ๆ ลดภาษี countervailing tax สำหรับ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และรองเท้า มี่นำเข้าจากประเทศจีน ในระยะ 3 ปีข้างหน้า เพื่อป้องกันผลกระทบ จากการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหัน และเป็นการชักจูง ให้ผู้ทำการค้านำเข้าเสื้อผ้า และรองเท้าในตลาดมืด หันมาเข้าตลาดปกติมากขึ้น เป็นการช่วยเหลือให้ รัฐบาลสามารถเก็บภาษีอย่างปกติได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป และรองเท้า จ้างแรงงานเม็กซิกัน อยู่ประมาณ 500,000 คน

Friday, July 25, 2008

Mexico's Textile Industry (Part 1)

อุตสาหกรรมสิ่งทอเม็กซิโก มีประวัติอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคอารยธรรม Aztec ก่อนการค้นพบทวีปอเมริกาโดย Christopher Columbus โดยคนพื้นเมืองในดินแดนเก่าของเม็กซิโก มีการใช้ผ้าฝ้ายดิบเป็นเครื่องนุ่งห่ม

เมื่อราชอาณาจักรเสปนได้ยึดครองเม็กซิโก ในศตวรรษที่ 16 ผู้บริหารการค้าการผลิตชาวเสปน ได้ทำการเพาะปลูกฝ้าย เป็นแปลงใหญ่ ในระบบการผลิตแบบ hacienda และเริ่มมีการทอผ้าฝ้ายแบบอุตสาหกรรมในครัวเรือน ในเขตพื้นที่ใกล้ชิดกับแหล่งเพาะปลูกฝ้าย ซึ่งได้แก่ เขต Vera Cruz และ Torreon โดยมีการขยายไปสูฃาย่ฝั่งทะเลแปซิฟิก

เจ้าของกิจกกรมการผลิตฝ้ายและสิ่งทอ เป็นชาวเสปน และฝรั่งเศศ มีการขยายการผลิตอย่างต่อเนื่องจนถึงศตวรรษที่ 19 แรงงานในกิจกรรมสิ่งทอ ได้รวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน ในปี 1800

ในปี 1821 ได้มีการลงนามความตกลงการค้าเสรี ทำให้มีการนำเข้าสิ่งทอที่มีราคาถูกจากอังกฤษ มากจนการผลิตภายในประเทศล้มเลิกไปเป็นจำนวนมาก ในปี 1843 มีโรงงานทอผ้าทั้งหมด 55 แห่ง ในเม็กซิโก และรัฐบาลเม็กซิโกได้สร้างระบบรถไฟ ซึ่งเอื้ออำนวยให้สามารถขนฝ้ายดิบจาก Texas และ New Orleans ไปป้อนโรงงานทอผ้าที่ Veracruz และ Puebla

การปฏิวัติเมื่อปี 1910 ได้มีผลนักลงทุนต่างชาิติปิดโรงทอผ้า ขนทุนกลับประเทศสเปนและฝรั่งเศษ ต่อมาใน 1930 ได้มีทุนใหม่จากผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน จากประเทศเลบานอนและซีเรีย มาก่อตั้งฐานการค้าและการผลิตสิ่งทอในรัฐ Puebla โดยมีครองครัว Zaga เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมสิ่งทอสมัยใหม่ นำเข้าเครื่องจักรทอทันสมัยจากสหรัฐฯ และลักษณะ ตลาดที่ปิดและไม่มีการแข่งขันมากนักในยุคสงครามโลก มีผลช่วยให้ตลาดสิ่งทอภายในประเทศทั้งหมด อยู่ในมือของครอบครัวอุตสาหกรรมสิ่งทอเพียง 3 ครอบครัว คือครอบครัว Zaga Kalach และ Parras

หลังจากนั้น ในยุคทศวรรษ 60 เริ่มมีการแข็งขันจากผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น และ ตุ้นทุนภายในประเทศอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากไม่ได้มีการพัฒนา หรือการลงทุนเพียงพอในด้านวัตถุดิบ

อุตสาหกรรมสิ่งทอในเม็กซิโก ได้รับแรงอัดฉีดอีกครั่งหนึ่ง ในยุคความตกลงการค้า NAFTA ซึ่งเม็กซิโกได้ลงนามกับสหรัฐฯ ในปี 1994 ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดินและเครื่องจักรลดลงอย่างมาก และได้รับการอัดฉีดด้านเงินทุนจากนักลงทุนสหรัฐฯ ที่เข้่าร่วมโครงการสิทธิประโยชน์ maquiladora มีผลให้เม็กซิโกเป็นส่งออกสิ่งทอไปยังสหรัฐฯ อันดับหนึ่ง จากปี 1996 จนถึงปี 2001

การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากเม็กซิโกไปยัง สหรัฐฯ มีมูลค่า 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ใน 1994 และได้เติบโตอย่างต่อเนื่อจนเพิ่มเป็น 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ใน 2003


ข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอเม็กซิโก ที่อาจเป็นประโยชน์:

Promexico (Bancomex) 's sector reports
Market Report of Textile Industy by Embassy of India Mexico
Abstract of market research by infomat.com
Bnet's article: Mexico's Balancing Act: NAFTA, New Markets and Major Investments - Textile industry growth initiatives
Article by thecottonschool.com: The Mexican Textile Industry: Evolution or Revolution

Wednesday, July 23, 2008

ค่าเงินเม็กซิโกเพิ่มขึ้น




The News วันพุทธที่ 2 ก.ค. 2008, "Peso up to strongest since 2002" (ภาพเอกสารแสดงข้างเคียง)ได้รายงานว่า ค่าเงินเม็กซิโกเพิ่มขื้น เนื่องจากตลาดเงินตราระหว่างประเทศ คาดว่า ธนาคารกลางเม็กซิโก จะประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ย CETES (Certificado de Tesorerian) เพิ่มขึ้นเป็นรอบที่สามตั้งแต่เดือนคุลาคมปีที่ผ่านมา เป็นร้อยละ 8.25 เพื่อการควบคุมภาวะเงินเฟ้อ แต่ในขณะเดียวกันได้มีผลดึงดูดการลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นในประเภทหลักทรัพย์รายได้ประจำ (fixed income securities)

Saturday, July 19, 2008

CEMEX

Cemex บริษัทเม็กซิกันผู้ผลิตปูนระดับโลก

บริษัท CEMEX เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นบริษัทผู้ผลิตปูนอันดับ 3 ของโลก (รองจาก Lafarge ของฝรั่งเศส และ Holcim ของสวิสเซอร์แลนต์)

ความสามารถในการผลิตปูนทั่วโลกของ CEMEX เท่ากับ 94 ล้านเมตริกตัน ความสามารถในการผลิตคอนครีดพร้อมใช้ (ready-mix concrete) 74 ล้านคูบิกเมตร และผลิตภัฒน์ข้างเคียงอีก 166 ล้านเมตริกตัน รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากยอดขายซึ่งบริษัทผูกขาดในประเทศเม็กซิโก ยอดขายรวมของบริษัทฯ ในปี คศ. 2007 คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 21.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

CEMEX มีศุนย์กลางการบริหารอยู่ที่เมือง Monterry (แหล่งรวามอุตสาหกรรมส่งออกสำคัญ ๆ ทางเหนือของเม็กซิโก) โดยมีเครือข่ายการผลิตทั่วโลกรวม 50 ประเทศ ในภูมิภาคอเมริกาเหนือและใต้ แคริเบียน ยุโรป เอเชียและแอฟริกา และมีโรงงานผลิตปูนในประเทศไทย 1 แห่งที่สระบุรี (โดย CEMEX ได้ซื้อบริษัทสระบุรีซีเมนต์ จากอิตัลไทยเมื่อปี คศ. 2001 มูลค่าประมาณ 73 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ความสามารถในการผลิตปูน 7.2 แสนเมตริกกันต่อปี ขณะนี้ใช้ความสามารถในการผลิตเต็มกำลัง) และยังมีโรงงานผลิตปูนและแหล่ง quarry ในมาเลเซียและฟิลิปปินส์อีกด้วย

บริษัท CEMEX ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี คศ. 1906 โดยปู่ของนาย Lorenzo Zambrano ผู้บริหารสูงสุดคนปัจจัน โดยการรวมโรงงานการผลิตสองแห่งในรัฐ Monterrey ต่อมาในยุคสมัยทศวรรษช่วง คศ. 60 ได้ขยายกิจการโดยการซื้อกิจการของผู้ผลิตซีเมนต์รายย่อยตามรัฐต่าง ๆ ในเม็กซิโก และในปี 1976 ได้นำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์เม็กซิโก เพื่อระดมทุนซื้อโรงงานผลิตปูนรายใหญ่สามแห่งของรัฐ Guadalajara เป็นปีที่ CEMEX กลายเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเม็กซิโก ในปี 1986 ได้เริ่มขยายกิจการไปต่างประเทศโดยการซื้อบริษัทผลิตปูนไปในกลุ่มประเทศ latin อื่น ๆ รวมทั้งประเทศเสปน

ในปี 2006 บริษัท CEMEX ได้เริ่มการเจรจาเพื่อซื้อบริษัท Rinker ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกปูนไปยังตลาดสหรัฐฯ และประสบผลสำเร็จในต้นปี 2008 โดยตกลงมูลคค่าการซื้อขายประมาณ 17 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ การบริหารหนี้ การผลิตและการตลาดในสองสามปีข้างหน้า จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการขยายตัวของบริษัท CEMEX ต่อไป

นอกจากนี้แล้ว เมือต้นปี คศ. 2008 นาย Hugo Chavez ประธานะบดีเวเนซูเอลา ได้ประกาศยึดบริษัทซีเมนต์ในประเทศเวเนซุเอลา ซี่ง CEMEX เป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายหนึ่ง โดยครอบครองตลาดเป็นครึ่งหนึ่งของตลาดปูนในเวเนซูเอลา บริษัท CEMEX ประเทศเวเนซูเอลา มีความสามารถในการผลิตเท่ากับ 4.6 ล้านเมตริกตัน เป็นการผลิตเพื่อการส่งออกโดยส่วนใหญ่ แต่ทั้งนี้ ผู้วิเคราะห์ตลาดคาดว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลร้ายต่อบริษัทฯ เท่าที่ควร เนื่องจากบริษัท CEMEX เวเนซูเอลา มีสัดส่วนต่อรายได้รวมของบริษัทเพียงประมาณร้อยละ 4

ในรายงานภาวะการเงินภาคแรกของบริษัทฯ ได้ประกาศว่าสามารถลดต้นค่าใช้จ่ายการเงินได้ถึง 400 ล้านเหรียญ เนื่องจากดอกเบี้ยลดลง จากการซื้อบริษัท Rinker ทั้งนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญในการลดหนี้เป็นอันดับแรก

ประเด็นน่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย

การที่ CEMEX ได้ลงทุนในประเทศไทย อาจช่วยให้ผู้ผลิตปูนในประเทศไทยได้รับข้อมูลและได้มีส่วนร่วมในเทคโนโลยีในการผลิตปูนที่ประสิทธภาพมากขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมไทย บริษัท CEMEX ไม่ได้มองแค่ตลาดภายในประเทศตลาดเดีย แต่มีแผนการจะขยายตลาดไปยังตลาดอื่น ๆ ใน ภูมิภาค เช่น ญี่ปุ่นและจีน ซึ่งเมื่อบริษัทฯ พร้อมจะไปในทิศทางนั้นแล้วก็จะเป็นเสมือนการขยายตลาดปูนของไทยไปต่างประเทศ นอกจากนี้แล้ว บริษัท CEMEX มีชื่อว่าเป็นบริษัทที่สนใจร่วมช่วยพัฒนาสังคม ซึ่งภาคประชาชนอาจจะหาช่องทางของรับเงินช่วยเหลือพัฒนาโครงการสังคมต่าง ๆ ได้ คู่แข่งต่างชาติที่สำคัญของ CEMEX ได้แก่บริษัทปูนของฝรั่งเศส การที่มีผู้ลงทุนต่างชาติรายอื่นในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะผูกขาดเช่นปูนซีเมนต์น่าจะเป็นผลดีแก่ประเทศไทย

Friday, July 18, 2008

ขั้นตอนการเปิดธุรกิจในเม็กซิโก

ก่อนการขอจดทะเบียน:

- ขอวีซ่านธุรกิจจากสถานทูตเม็กซิโก 99.00 เหรียญสหรัฐฯ ปกติสามารถขอรับได้ใน 24 ชั่วโมง

- ขอหนังสือ Power of Attorney จากสถานทูต รับรองว่าเป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนบริษัทไทยที่ประสงค์ดำเนินุรกิจในเม็กซิโก

การจดทะเบียนก่อตั้งบริษัท

- ขออนุญาติจัดตั้งบริษัทต่างชาติกับกระทรวงการต่างประเทศเม็กซิโก หากมีคุณสมบัติตามโครงการ SARE (Rapid Business Start-up System) สามารถทำการขออนุญาตทาง internet เสียค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียม 555 เปโซ รับคำตอบภายใน 48 ชั่วโมง
- แจ้งการขอตั้งบริษัทกับบริษัททนายความ Public Notary ค่าใช้จ่ายประมาณ 500 เหรียญสหรัฐฯ

ประเภทการดำเนินธุรกิจ:

o S.A. (Sociedad Anonima) ประเภทบริษัทจำกัด ต้องมีทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 50,000 เปโซ หรือ
o S. de R.L. de C.V., (Sociedad de Responsabilidad Limitada) ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ 3,000 เปโซ คล้ายห้างหุ้นส่วนจำกัด มีผู้ถือหุ้นร่วมสูงสุดไม่เกิน 50 หุ้นส่วน
o ทั้งสองประเภทธุรกิจจะต้องแจ้ง by-laws กับ Notario Publico

เมื่อได้รับอนุมัติชื่อบริษัทแล้ว:

- ขอขึ้นทะเบียนผู้เสียภาษีกับกระทรวงการคลัง (Hacienda) ภายใน 15 วัน โดยการติดต่อสำนักงานสรรพากรในท้องที่ หรือผ่าน internet ได้ ที่ http://www.sat.gob.mx/nuevo.html

ภาษี:

o ภาษีรายได้บุคคลหัก ณ ที่ จ่าย ร้อยละ 35
o ภาษีกำไรธุรกิจ ร้อยละ 35 หรือ ภาษีทรัพย์สิน ร้อยละ 2
o ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 15

- ในกรณีย์เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน ต้องจดทะเบียนและได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ จากกระทรวงการคลัง

- ในกรณีย์ประสงค์จะนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ ต้องขออนุมัติจากกระทรวงการคลัง

เกี่ยวกับการใช้พื้นที่และสิ่งแวดล้อม:

- ขอจดทะเบียนกับ Public Commercial and Property Register และขออนญาติการใช้ที่ดิน ในเขตท้องที่ที่บริษัทตั้ง การอนุมัติใช้เวลาการดำเนินการประมาณ 20-30 วัน

- ต้องแจ้งกระทรวงสาธารณสุข ภายใน 10 วันที่ได้หมายเลขผู้เสียภาษี พร้อมการขออนุมัติรับบริการน้ำดื่ม มีผลบังคับใช้หลัง 20 วัน

- จดทะเบียนการติดตั้งป้ายชื่อธุรกิจ ภายใน 22 วัน

- จดทะเบียนแหล่งน้ำเสียและการปล่อยน้ำเสีย ประมาณ 10 วัน

- ต้องแจ้งการขอใช้ไฟฟ้ากับการไฟฟ้า และบริษัท PEMEX หากมีการใช้พลังงานในระดับที่สูงมาก

-ในกรณีย ์ธุรกิจมีการกำจัดของเสีย ที่มีผลต่อมลภาวะ ต้องของใบอนญาตเพิ่มเติม จากกระทรวงสิ่งแวดล้อม ภายในหนึ่งเดือน ที่ได้รับหมายเลขผู้เสียภาษี

- โครงการลงทุนด้านอุตสาหกรรมทุกประเภท ต้องได้รับการประเมินเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม Operation License จาก State Ecological Commisssion

เมื่อเริ่มจ้างลูกจ้าง:

- การขึ้นทะเบียนลูกจ้างกับ Seguro Social ประกันความปลอดภัยพนักงาน ภายใน 5 วัน ที่ได้ทำสัญญาว่าจ้างกับลูกจ้าง ไดรับการอนุมิตประมาณ 15 วัน เงินหักค่าสวัสดิการ ประมาณร้อยละ 22 ของเงินเดือน ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินโบนัสคริสมัส เท่ากับค่าจ้าง 15 วัน ค่าตอบแทนในกรณีถูกไล่ออก เท่ากับ 90 วันสำหรับปีแรก บวก 20 วันสำหรับแต่ละปีที่ทำงาน

- ขึ้นทะเบียนกับ Payroll Taxroll

- Mixed Training and Education Commision แจ้งเกี่ยวกับ โครงการอบรมพนักงาน กับกระทรวงแรงงานและสวัสดิการ

- ขึ้นทะเบียนกับ Health and Safety Commision

การแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการเก็บข้อมูลรัฐ:

- จดทะเบียนกับการลงทุนต่างชาติภายใน 30 วันหลังจากได้รับหมายเลขผู้เสียภาษี

- ขึ้นทะเบียนกับ Mexican Business System (SIEM) ค่าใช้จ่ายประมาณ 100-670 เปโซ

- แจ้งตัวเลขสถิติกับ สถาบันสถิติ INEGI

รายการ website ของรัฐบาลเม็กซิโกที่เกี่ยวข้อง:

Opening New Business in Mexico

ProMexico, Trade Directory of Mexico, Hacienda, Seguro Social, INEGI, SRE, SE

website อื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

Understand Mexico, Mexico Law, mexconnect, Sme Toolkit

Thursday, July 17, 2008

สิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการส่งออกของประเทศเม็กซิโก

1) Maquiladora
ประเทศเม็กซิโกได้เริ่มนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อการส่งเสิรมการส่งออก ภายใต้โครงการมาคิลาด้อรา (Maquilador) ตั้งแต่ช่วงทศวรรษปี คศ. 1950

ผู้ขอใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้โครงการมาคิลาด้อราเป็นนักลงทุนจากต่างชาติ ส่วนใหญ่จากสหรัฐฯ

อุตสาหกรรมภายใต้มาคิลาด้อราได้เริ่มขยายตัวในทศวรรษต่อ ๆ มา จนกลายเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศอันดับสองรองจากน้ำมันในช่วงปี 1980

จากปี 1973 เป็นต้นมา การส่งออกของอุตสาหกรรมมาคิลาด้อรา มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมด ระหว่างปี 1995 ถึง 2000 การขยายตัวของกลุ่มอุตสาหกรรม ที่ใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้โครงการดังกล่าว ได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว เทียบเท่ากับการเปิดกิจกรรมที่ใช้สิทธิประโยชน์ฯ หนึ่งแห่งต่อวัน

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผลผลิตของอุตสาหกรรมภายใต้โครงการฯ มีสัดส่วนเป็นร้อยละ 25 ของผลผลิตรวมแห่งชาติ (GDP) และจ้างงานร้อยละ 17 ของแรงงานประเทศ (ราว ๆ ล้านกว่าคน) แต่ผลกำไรของกิจกรรมเหล่านี้ี้ มักจะถูกส่งกลับไปยังประเทศผู้ลงทุน เช่น สหรัฐฯ จึงไม่ได้มีผลช่วยการพัฒนาเศรษฐกิจโดยตรงของประเทศเม็กซิโกเท่าที่ควร

หลังจาก ปี 2000 เป็นต้นมา การแข่งขันจากต้นทุนแรงงานที่ต่ำกว่า จากประเทศจีนและกลุ่มประเทศอเริกากลาง ได้มีผลทำให้อุตสาหกรรมการส่งออกภายใต้โครงการมาคิลาด็อราเริ่มอ่อนตัวลง

ผู้มีสิทธิขอรับสิทธิประโยชน์มาคิลาด้อรา มี 4 ประเภทคือ
    1. ผู้ได้รับจ้างให้ทำการผลิตเพื่อการส่งออก (sub-contract)
    2. ผู้ลงทุนต่างชาติเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบและเครื่องจักรการผลิต และผู้ผลิตฝ่ายเม็กซิกัน เป็นผู้บริหารและจัดหาแรงงาน (shelter program)
    3.เป็นการลงทุนร่วมระหว่างผู้นำเข้าฝ่ายต่างชาติิกับบริษัทเม็กชิกัน ที่ดำเนินการเดินเรื่องด้านกฏหมาย และเอื้ออำนวยการผลิตภายในประเทศ (joint venture)
    4. บริษัทต่างชาติเป็นผู้ลงทุนเต็มรูปแบบ (sole proprietor)
การขอใฃ้สิทธิ

ผู้ขอใช้สิทธิต้องยื่นของใบอนุญาติประกอบกิจกรรมมาคิลาด้อรา กับกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (Secreterian de Comercio y Fomento Industrial/SECOFI)ซึ่งเป็นผู้ประสานต่อกับกรมศุลกากร เพื่อให้อนุญาติการนำเข้าตามรายการที่ขอ (วัตถุดิบ เครื่องจักร วัสดุที่ใช้การบรรจุ) ระยะเวลาที่ปัจจัยเหล่านี้ จะอยู่ภายในประเทศได้ก่อนการส่งออก อัตราส่วนที่สามารถถือว่าเป็นส่วนที่ศูนย์เสียไปในการผลิต และท่านำเข้าและส่งออกที่อนุญาตให้ผ่าน ทั้งนี้ บริษัทผู้ส่งออกต้องใช้บริการของตัวแทนศุลกากรอิสระที่ได้รับอนุมัติ หรือจ้างเป็นพนักงานในบริษัทเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากร

บริษัทผู้ขอใช้สิทภายใต้โครงการมาคิดอร้า ฺสามารถนำเข้าเงินทุนใหม่ (working capital/operating expenses) เป็นรายเดือนจากแหล่งทุนต่างประเทศ ต้องแจ้งรายได้และเสียภาษีรายได้(28%) ภาษีหลักทรัพย์(1.5%) (ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกจ่ายระหว่างภาษีหนึ่งในสองดังกล่าวที่มูลค่าสูงกว่า)และต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(15%) สำหรับสินค้าทีซื้อภายในประเทศ แต่สามารถขอคืนภาษีได้ และสุดท้ายต้องแจ้งภาษีแรงงานอีกด้วย

ภาษีนำเข้าที่สามารถขอยกเว้นได้

อนึ่ง การส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเนื่องจากพิกัด 800, 806.20, 806.30, และ 807 อนุญาติให้นำเข้าสินค้า (re-entry) ที่ได้มีแหล่งกำเนิดจากสหรัฐฯ โดยปลอดภาษี ทั้งนี้มาตรา 9802.00.60 9802.00.40 ภายใต้ Harmonized System ของสหรัฐฯ ระบุให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสัดส่วนที่มีการผลิตในต่างประเทศ แต่ภายใต้ระบบ GSP(Generalized System of Preference) ของสหรัฐฯ ถือว่าหากสัดส่วนที่ผลิตจากเม็กซิโกเกินร้อย 35 สามารถนำเข้าโดยปลอดภาษี

เขตพื้นที่

อุตสาหกรรมมาคิลาด้อราส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่อยู่ตามชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ซึ่งได้แก่เมือง Tijuan, Tecate, Mexcali, San Luis Rio Colorado, Nogales, Agua Prieta, Ciudad Juarez, Cuidad Acuna, Piedras Negras, Matamoros, Ciudad Tamaulipas นอกจากนี้ เมืองอื่น ๆ ที่ห่างออกไปเล็กน้อยราว 2-3 ชั่วโมงได้แก่ Ensenada, Hermosillo, Ciudad Chihuahua, และ Monterrey

ภาคอุตสาหกรรม

ภาคอุตสาหกรรมที่ได้เติบโตเนื่องจากโครงการสิทธิประโยชน์มาคิลาด้อรา ได้แก่ อุตสาหกรรมยุคแรกคือ ยานยนต์ อิเล็คตรอนนิกส์ เครื่องมืออุปกรณ์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตใหม่ คือ การผลิตเครื่องบิน ศูนย์ค้นคว้าและวิจัย ลอจิสติก การอำนวยธุรกิจ และการผลิตอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์

2) PITEX

การให้สิทธิประโยชน์ภายใต้โครงการ PITEX (Program for Temporary Imports to Promote Exports) ได้เริ่มใช้ในปี 1990 เพื่อให้สิทธิประโยชน์นักลงทุนภายในประเทศ สามารถทำการผลิตให้มีความแข่งขันในระดับเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ให้สิทธิมาคิลาด้อรา โรงงานเม็กซิกันที่มีการส่งออกเกินกว่าร้อยละ 10 ของยอดขายสามารถนำเข้าวัตถุดิบได้โดยยกเว้นภาษีนำเข้า แต่ต้องมีการส่งออกภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หากมีการส่งออกมากกว่าร้อยละ 30 สามารถนำเครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิตเข้ามาโดยปลอดภาษี

3) IMMEX

รัฐบาลกลางแห่งเม็กซิโกได้ประกาศกฏระเบียบใหม่เพื่อรวมโครงการสิทธิประโยชน์เพื่อการส่งออก ให้อยู่ภายใต้รายการเดียวซึ่งเรียกว่า IMMEX (Maquiladora Manufacturing Industry and Export Services) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน คศ. 2006 เป็นการลดขั้นตอนการในการขออนุญาตจาก 29 รายการ เหลือ 16 รายการ บริษัทผู้ขอใช้สิทธิต้องใช้สิทธิภายใต้โครงการสิทธิของ IMMEX เพียงโครงการเดียว แต่สามารถมีรูปต่าง ๆ ได้ แก่ Umbrella Maquila, industrial, services, shelter, certified third party entities ทั้งนี้ ต้องมีการส่งออกรายปีมากกว่า 500,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือส่งออกอย่างน้องร้อยละ 10 ของ annual invoice และต้องมี Advance Electronic Signature สำหรับบริษัทที่ใช้สิทธิตามโครงการ Mauiladora และ PITEX จะได้รับการหมายเลข IMMEX จากกระทรวงเศรษฐกิจ และสามารถใช้สิทฺประโยชน์เดิมได้ถึง 1 กรกฏาคม คศ. 2007

4) เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ระหว่าง Maquiladora, PITEX และ IMMEX

ผู้ผลิตเม็กซิกันที่ใช้โครงการสิทธิประโยชน์ของ PITEX มีข้อได้เปรียบ คือสามารถขายสินค้าภายในประเทศเม็กซิโกได้โดยไม่มีข้อจำกัด ในขณะที่ผู้ใช้สิทธิ Mauiladora ไม่สามารถขายสินค้าภายประเทศได้ในระยะแรก ในขณะที่ผู้ใช้สิทธิ Maquiladora ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ

การให้สิทธิภายใต้โครงการ IMMEX เพียงโครงการเดียว เป็นการช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาต เนื่องจากหลายบริษัท เปลี่ยนการขอให้สิทธิกลับไปกลับมา และในแง่การรวบรวมสถติและติดตามภาวะอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ INEGI (Instituto Nacional de Extadistica, Geografia y Informacion)
จะยกเลิกการรายงานตัวเลข Maquiladora โดยจะรายงานตัวเลข IMMEX แทน ซึ่งอาจส่งผลเสียเล็กน้อยสำหรับผู้รวบรวมภาวะอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค ซึ่งตัวเลข Maquiladora แยกรายการย่อยตามภูมิภาค ในช่วงปรับตัวเลขจะขาดข้อมูลดังกล่าวไป 12 เดือน และตัวเลขใหม่จะไม่สามารถให้ภาพย้อนหลังจนกว่าจะมีการเก็บสิถติอีกหลายปี

โครงการสิทธิประโยชน์ IMMEX ได้ประกาศเป็น Decree และยังไม่ได้ออกเป็นกฏหมาย Custom Law ฉะนั้น กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยงข้อง ซึ่งได้แก่ กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม กระทรวงเศรษฐกิจ กรมศุสกากร ยังสามารถกำหนดขั้นตอนภายในอีกตามใจชอบ นอกจากนี้แล้ว รัฐบาลของประธานาธิบดี Calderon ยังจะมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษี (fiscal reform) เพิ่มเติม ซึ่งจะปรับภาษีของการประกอบธุรกิจ ให้มีอัตรารวมตัวเดียวสำหรับอุตสาหกรรมทุกประเภท ซึ่งเรียกว่า CETU ฉะนั้นข้อได้เปรียบด้านภาษีบางส่วนของ Maquiladora จะหมดไปอันเป็นผลให้ต้องเสียภาษีรายได้สูงขึ้น

Tuesday, July 15, 2008

ข้อมูลภาวะเศรษฐกิจ กลุ่มประเทศอเมริกากลาง

กลุ่มประเทศอเมริกากลาง 7 ประเทศ (กัวเตมาลา เอลซาวาดอร์ ฮอนดูรัส นิการากัว คอสตาริกา ปานามา และ เบลิซ) มีพื้นที่รวมเท่ากับ 523,780 ตารางกิโลเมตร (ใกล้เคียงกับพื้นที่ของประเทศไทย และใหญ่กว่า พื้นที่ของประเทศสเปน เล็กน้อย) และมีประชากรรวมประมาณ 40.5 ล้าน มีข้อได้เปรียบสำคัญในเชิงกลยุทธคือ มีที่ตั้งเปรียบเสมือน ประตูหลังของตลาดที่สำคัญที่สุดของโลก อันได้แก่สหรัฐอเมริกา


Source: http://en.wikipedia.org/wiki/Central_America

ประเทศกลุ่มอเมริกากลาง ได้มีความคืบหน้า ในการพัฒนาประเทศในรอบ 10-15 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี เนื่องจากการเมืองภาย ในประเทศต่าง ๆ และในระดับภูมิภาค เริ่มมีความมั่นคงมากขึ้น อันเป็นผลให้ประเทศต่าง ๆ สามารถหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และความยากจน กลายเป็นกลุ่มประเทศ ที่กำลังได้รับความสนใจ ลงทุนจากต่างประเทศพอสมควร อาทิ เช่น การลงทุนในโรรงานผลิตไมโครชิป ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท Intel ในประเทศคอสตาริกา ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก ประมาณร้อยละ 20 ของการส่งออกรวม ซึ่งมีประมาณ 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี คศ. 1999 เป็นต้น

อนึ่ง เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มประเทศอเมริกากลางทั้งหมด ยกเว้น ประเทศคอสตาริกา เป็นกลุ่มประเทศสำคัญ ที่มีความสัมพันธ์ทางการเมือง กับไต้หวัน และได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สำคัญ ๆ จากไต้หวัน

เมื่อพิจารณาในระดับภูมิภาคแล้ว กลุ่มประเทศอเมริกากลาง ได้รับการจัดอันดับ Global Competitiveness Index โดย World Economic Forum ที่สูงกว่า ภูมิภาคลาตินอเมริกา คาริเบี่ยน และเอเชียใต้ และใกล้เคียงกับ ดัชนีแข่งขัน ของกล่มประเทศยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง ปัจจัยที่สนับสนุน ให้กลุ่มประเทศอเมริกากลาง มีความได้เปรียบมากขึ้น ได้แก่ การปรับนโยบายศรษฐกิจการค้า ให้มีเสรีภาพมากขึ้น ขั้นนตอนการเปิดธุรกิจลดลง การบริหารภาครัฐบาล มีประสิทธภาพมากขึ้น และมีการส่งเสริมการลงทุน ของต่างประเทศ ให้มีสิทธิประโยชน ์และความสะดวกมากขึ้น การพัฒนาสนามบินและท่าเรือ การพัฒนาสถาบันการเงิน และตลาดหลักทรัพย์ และการส่งเสริมเทคโนโลยี รวมทั้งการพัฒนาบุคคลากรและการศึกษา

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่สนับสนุนให้ชาวต่างชาติ มีความสนใจลงทุน ในกลุ่มประเทศอเมริกากลาง ได้แก่ ความตกลงในระดับภูมิภาค และเขตการค้าเสรีสำคัญ ๆ ที่กลุ่มประเทศอเมริกากลาง ได้เจรจาไว้ และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา อันได้แก่ Sistema para la Integración Centroamericana (SICA), Central American Parliament, Central American Bank for Economic Integration, Central American Common Market, เขตการค้าเสรีกับสหรัญ - Central America Free Trade Agreement, และกับแคนาดา - Canada Central American Free Trade Agreement โดยประเทศคอสตาริกา เป็นประเทศ ที่มีความตกลงระหว่างประเทศ ที่เอื้ออำนวยการค้ามากที่สุด ในกลุ่มดังกล่าว และในประเทศปานามา มีเขตการค้าเสรีพิเศษ Colon Free Zone ซึ่งเป็นศูนย์การส่งออกปลอดภาษี ที่มีพื่นที่ใหญ่อันดับสองของโลก

นอกจากนี้แล้ว ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มอเมริกากลางยังได้แข่งขันกัน พัฒนาเขตนิคมอุตสาหกรรม อย่างหลากหลาย

Sunday, July 13, 2008

ตลาดหลักทรัพย์เม็กซิโก ออกหุ้นให้ผู้ลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์เม็กซิโก Bolsa Mexicana de Valores หรือ BMV เป็นตลาดหุ้น และตลาด derivative มีบริษัทสมาชิกนายหน้าขายหุ้นจำนวน 24 บริษัท ได้ออกหุ้น IPO เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2008 โดยธนาคาร UBS และ BBVA Bancomer เป็นผู้ให้คำแนะนำการออกหุ้น
การออกหุ้นของตลาดหลักทรัพย์เม็กซิโก มีผลเปลี่ยนสถานะ BMV จากผู้ดำเนินการควบคุมการลงทุนในตลาด ให้เป็นผู้ลงทุนร่วมในตลาดรายหนึ่ง และคาดว่า หุ้นออกใหม่ของ BMV จะรณรงค์ทุนได้ประมาณ 444 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการออกหุ้น 121 ล้านหุ้นสำหรับการขายภายในเม็กซิโก และอีก 158 ล้านหุ้น ในตลาดอื่นๆ ราคาหุ้นละ 14-19 เปโซต่อหุ้น

Saturday, July 12, 2008

ภาวะอุตสาหกรรมน้ำมันเม็กซิโก

ภาวะการผลิต ส่งออก และบริโภคน้ำมันในเม็กซิโก

ประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันอันดับที่ 7 ของโลก (2008) และเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบอันดับ 10 โดยมีการส่งออกในปี คศ. 2006 ปริมาณ 1.68 ล้านบาเรลต่อวัน และปริมาณการผลิตจำนวน 3.7 ล้านบาเรลต่อวัน

เม็กซโกมีแหล่งน้ำมันสำรองที่พิสูจน์แล้ว 15.5 พันล้านบาเรล ซึ่งเกือบร้อยละ 90 เป็นการผลิตน้ำมันดิบ โดยมีความสามารถกลั่นน้ำมันภายในประเทศได้เพียง 1.6 ล้านบาเรลต่อวัน ในขณะที่การบริโภคน้ำมันภายในประเทศเกือบ 2 ล้านบาเรลต่อวัน (สรุปข้อมูลภาคพลังงานของเม็กซิโก

แหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก ชื่อว่า Cantarell เริ่มให้ผลผลิตที่ลดลง โดยคาดว่าจะลดลงร้อยละ 20 ในปี 2008 จากเคยผลิตได้วันละ 1.5 ล้านบาเรล ลดลงเป็นวันละ 1.2 ล้านบารเล เนื่องจากบ่อใกล้จะหมดอายุ

การส่งออกน้ำมันของประเทศเม็กซิโก ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยเม็กซิโกเป็นแหล่งนำเข้าน้ำมันอันดับที่สามของสหรัฐฯ อัตราร้อยละ 14.9 รองจากแคนาดา และซาอุดิอาราเบีย

ภูมิหลังบริษัท PEMEX

บริษัท Petroleos Mexicanos (PEMEX) เป็นรัฐวิสาหกิจและบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเพียงผู้เดียวในประเทศเม็กซิโก โดยวารสาร Fortune 500 จัดอันดับให้ PEMEX เป็นบริษัทสำคัญอันดับที่ 34 ของโลก และเป็นบริษัทน้ำมันที่มีความสำคัญเป็นอันดับที่ 10 ของโลก บริษัท PEMEX มีประวัติการก่อตั้งสืบเนื่องมาจากการยึดแหล่งการสำรวจและผลิตน้ำมันจากบริษัทเอกชนต่างชาติ (nationalization) เมื่อปี 1938

ถึงแม้ว่า บริษัท PEMEX จะมีรายได้มากถึง 198 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณสองส่วนสามของรายได้ของบริษัทฯ ต้องจ่ายเป็นภาษีและ royalties แก่รัฐบาลเม็กซิกัน ทำให้ PEMEX ขาดแคลนเงินทุนเพียงพอเพื่อขยายการลงทุนในการสำรวจขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนดงบประมาณค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ และในปัจจุบันบริษัทฯ มีหนี้เงินกู้จำนวน 42.5พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

คณะบิรหารของบริษัท PEMEX ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ซึ่งเปลี่ยนวาระทุก 6 ปี ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหารที่มาจากภาครัฐบาล และตัวแทนสหภาพแรงงาน ไม่ได้เป็นนักลงทุนหรือนักบริหารที่มีประสบการณ์ด้านน้ำมันมืออาชีพ รายได้จากการส่งออกน้ำมันของบริษัท จึงเป็นแห่ลงรายได้สำคัญของรัฐบาล ถึงร้อยละ 7 (ในช่วงปี 1960 มีส่วนเป็นรายได้ของรัฐถึงร้อยละ 60)

ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ PEMEX ไม่มีความคล่องตัวในการบิรหารคือ สหภาพแรงงานที่มีอิทธิพลและได้รับผลประโยชน์สูง ทั้งนี้ บริษัทฯ มีลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพฯ ทั้งหมดประมาณ 150,000 คน

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2008 เนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปีของ PEMEX นาย Jesus Reyes Heroles กรรการผู้จักการใหญ่ ได้ให้ข่าวว่า PEMEX มีความจำเป็นต้องปรัปปรุงโครงสร้างกฎระเบียบที่ควบคุมการดำเนินการในระดับพื้นฐาน โดยจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการที่รัฐบาลบริหารน้ำมันและผลผลิตน้ำมัน ทั้งนี้ บริษัทฯ จะต้องมีการปรับปรุงด้านการบัญชีให้มีความโปร่งใส และป้องกันคอรรัปชั่นมากขึ้น ต้องเอื้ออำนวยให้บริษัทอื่นๆ ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากขึ้นในแหล่งสำรวจต่างๆ และต้องปรับปรุงการจัดสรรงบประมาณให้มีสัดส่วนที่เป็นไปตามเกณฑ์การลงทุนในระดับที่แข่งขันได้กับต่างชาติ โดยไม่ให้ส่งผลกระทบในทางลบต่องบประมาณของรัฐบาล

ข้อเสนอของรัฐบาล Calderon เพื่อการแก่ไขกฏหมายให้ชาวต่างชาติสามารถลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2008 นาย Felipe Calderon ประธานาธิบดีของเม็กซิโก ได้ยื่นข้อเสนอขอแก้ไขกฎหมายต่อรัฐสภา โดยใช้ชื่อว่าเป็นข้อเสนอการปรับโครงสร้างพลังงาน (Energy Reform) แต่ความเป็นจริง เป็นแค่การขอแก้กฏหมาย เพื่ออนุญาติให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในการสำรวจขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันใหม่ในเขตทะเลน้ำลึก ซึ่งได้รับการต่อต้านอย่างเข้มแข็งจาก นาย Lopez Obrador แห่งพรรค PRD (Partido de la Revolucion Democratica)

ข้อเสนอของประธานาธิบดี Calderon มีประเด็นที่แจ้งต่อสภา 6 ประการกล่าวคือ
• ได้เสนอว่า PEMEX ควรจะสามารถดำเนินการด้านเงินและขั้นตอนการประกอบการเป็นอิสระจากภาครัฐบาล
• ให้มีการปรับปรุงกฏระเบียบเกี่ยวกับการบริหารในการจัดทำข้อตกลงร่วมกับคู่สัญญาและการจัดซื้อ
• ให้ PEMEX จ้างบริษัทที่มีความสามารถเฉพาะเพื่อการสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่
• ให้มีการปรับปรุงด้านการเปิดชี้แจงบัญชี
• ให้มีการออกพันธบัตรประชาชน (citizen bond) ที่จะแบ่งผลกำไรของ PEMEX ให้กับประชาชน
• ให้ปรับปรุงความสามารถของหน่วยงานต่างๆ ที่ควบคุมดูแลภาคพลังงาน

พรรคฝ่ายรัฐบาล หรือ PAN (Partido Action National) ได้พยายามผลักดันให้สภารับข้อเสนอการปรับโครงสร้างพลังงานอย่างเร่งรับ (fast track) โดยให้มีการลงคะแนนมติก่อนสภาจะหมดสมัยในสิ้นเดือนเมษายน แต่ พรรค PRD ได้ระดมกลุ่มประชาชนเป็นหมื่นคนไปประท้วงในลานศาลากลางใหญ่ของเมืองหลวง (Zocalo) หลายรอบ และสุดท้ายได้มีการยึดสภาโดยผู้แทนพรรคฝ่ายค้านสองพรรค คือ พรรค PRD และพรรค PRI (Partido Revolucionario Institucional) อันเป็นผลให้การอภิปรายในสภา ต้องหยุดชะงักลงเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์

ในที่สุดได้มีการต่อรองให้มีการยืดระยะเวลาการพิจารณาเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาคพลังงานให้มีภาพกว้างไปกว่าการอนุญาติให้ชาวต่างชาติมาลงทุนในการสำรวจขุดเจาะตามข้อเสนอของประธานาธิบดี Calderon โดยให้มีการเปิดเผยอภิปรายพิเศษจนถึงเดือน กรกฎาคม คศ. 2008 ให้ประชาชนได้รับฟังอย่างเปิดเผย (การอภิปรายต้องถ่ายทอดสดในโทรทัศน์)โดยจะแบ่งการอภิปรายทั้งหมด 23 หัวข้อ

สรุปท่าทีของพรรคทั้งสามต่อการปรับปรุงภาคพลังงานดังนี้

PAN: - PEMEX และน้ำมันดินเป็นของประชาชนเม็กซิกัน และไม่ได้เสนอการปรับให้ PEMEX เป็นบริษัทเอกชน
- พรรคไม่ได้กำหนดเงื่อนไขการขุดสำรวจ และไม่ได้ผูกมัดผลกำไรของอุตสาหกรรมน้ำมัน
- ต้องการให้ PEMEX มีการพัฒนาให้ทันสมัยและให้มีการปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมัน 3 แห่ง

PRI: - คัดค้านแผนการ privatization ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม แต่ขอให้มีการปรัปปรุงที่ ครอบคลุม (integrated)
-ให้มีการเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรอง และให้ PEMEX มีเอกเทศน์ด้านการเงิน
- ให้ PEMEX ปลดหนี้ที่ค้างอยู่ และให้มีการวิเคระห์ปรับปรุงการจัดสรรผลกำไร

PRD: - คัดค้านการ privatize และเรียกร้องให้มีการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมมีการเติบโต
- คัดค้านการจ้างต่อการสำรวจ รัฐควรจะควบคุมแหล่งน้ำมันสำคัญ
- เสนอถอนอำนาจการกำหนดนโยบายน้ำมันจากกระทรวงการคลัง

ข้อสังเกต:

พรรคฝ่ายรัฐบาล หรือ PAN (Partido Action National) ซึ่งมีคะแนนเสียงส่วนน้อยในสภา ไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ในการเสนอแก้ไขกฎหมายให้ชาวต่างชาติสามารถลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน โดยมองข้ามประเด็นความสำคัญของความภาคภูมิใจที่ชาวเม็กซิโกส่วนใหญ่มีเกี่ยวกับการได้ครอบครองการผลิตน้ำมันของตนเอง และไม่ได้มีการให้ข้อมูลที่เพียงพอ หรือในบางส่วนเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความจำเป็นในการสำรวจหาแห่งน้ำมันเพิ่มเติม อันเป็นผลให้ฝ่ายค้านสามารถใช้ข้อมูลที่ขาดแคลนไป เป็นเหตุผลปลุกระดมให้ประชาชนคัดค้านข้อเสนอของประธานาธิบดี เช่น การที่เม็กซิโกยังมีแหล่งน้ำมันจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้พิสูจน์และสามารถขุดสำรวจได้ง่ายกว่าในเขตทะเลน้ำลึก และการที่ข้อเสนอขอแก้กฏหมายของ นาย Felipe Calderon เป็นเรื่องที่เฉพาะเจาะจงไม่ได้มองภาพรวมของอุตสาหกรรมน้ำมัน เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ที่อาจมีความสนใจที่จะเป็นผู้ลงทุนรายย่อย ในการสำรวจขุดเจาะหาแห่ลงน้ำมัน หรือลงทุนในอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน หรืออุตสาหกรรมต่อเนื่อง petrochemical หรือ จะเป็นการให้บริการขนถ่ายน้ำมัน ก็ตาม ในความเป็นจริง บริษัท PEMEX ได้มีการ subcontract ให้บริษัทต่างชาติรรับช่วงทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ หลายรายอยู่แล้ว จึงมีช่องทางที่สามารถเข้ามาแหล่งวัตถุดิบอันสำคัญ โดยการลงทุนรับช่วงในส่วนใดส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมดังกล่าวซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง เช่น ด้านแก๊ซ หรือข้อพิจารณาอีกส่วน หนึ่ง ก็คือ การทำความตกลงระหว่างประเทศขอซื้อน้ำมัน โดยให้เหตุผลกับเม็กซิโก ว่าควรกระจายตลาดการส่งออกไปยังประเทศอื่น (ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลอเมริกามีแนวโน้มค่อนข้างสูงในการลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ) นอกจากนี้แล้ว ในภาวะวิกฤคิการณ์ราคาอาหารโลกสูงขึ้น อันเป็นผลให้ประเทศผู้นำเข้าอาหารหลายประเทศเริ่มมีความเดือดร้อนมากขึ้น ประเทศไทย อาจจะเสนอการแลกเปลี่ยนอาหารเพื่อซื้อน้ำมันกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน เช่น เม็กซโก และเวเนซูเอลา เป็นต้น

Thursday, July 10, 2008

ข่าวการค้าและการลงทุนในประเทศเม็กซิโก - เม.ย. 2551

ปูนซีเมนต์
- นาย Hugo Chavez ประธานาธิบดีประเทศเวเนซูเอลา ได้ประกาศบังคับบริษัทผู้ลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เวนูชูเอลา ให้จัดสรรแก่รัฐบาลเวเนซูเอลาได้ครอบครองส่วนแบ่งการลงทุนร้อยละ 60 ทั้งนี้ บริษัท CEMEX ซึ่งเป็นบริษัทปูนซีเมนต์ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญรายหนึ่ง ต้องเจรจากับรัฐบาลเวนูซูเอลา เพื่อจัดโครงสร้างการลงทุนใหม่ ย่อมมีผลกระทบสำคัญต่อบริษัทแม่ที่ประเทศเม็กซิโก ซึ่งในขณะนี้ มีราคาหุ้นสูงขึ้น ทั้งนี้ ประธานธิบดี Chavez จะใช้เงินทุนของบริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวนูชูเอลา เป็นผู้ออกทุนการจัดสรรส่วนแบ่งการลงทุน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศเวเนชูเอ (แหล่งข่าว: The News 04/05/08)

ผู้ผลิต PVC
- บริษัท Mexichem ผู้ผลิต PVC ได้ขยายการลงทุน โดยการซื้อบริษัทการผลิต fluoride สองแห่งในประเทศเม็กซิโก โดยมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตเป็น 80,000 ตัน ภายในหนึ่งปีข้างหน้า(แหล่งข่าว: The News 04/02/08)

ผู้ผลิตแก๊ซ
- บริษัท World GLT ผู้ลงทุนส้รางโรงงานแปรสภาพแก๊ซแห่งแรกในทวีปอเมริกา จะร่วมทุนกับบริษัท Pemex-ประเทศเม็กซิโก Petrobas-ประเทศบราซิล และ Sinopec-ประเทศจีน เพื่อการผลิตดีเซลสำหรับตลาดภูมิภาคอเมริกา(แหล่งข่าว: The News 04/02/08)

การผลิตนม
- ผู้เลี้ยงวัวในเม็กซิโกคาดว่า จะเพิ่มการผลิตนมอีก 3 ล้านลิตร ในปี 2550 เพิ่มเป็นจำนวน 10.6 พันล้านลิตร อันเป็นผลเนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องจากโครงการพัฒนา Contract Milking ของกระทรวงเกษตรของเม็กซิโก (แหล่งข่าว: The News 04/02/08)

บริษัท Bombardier
- บริษัท Bombardier ผู้ผลิตรถรางไฟฟฟ้าอันดับสองและผู้ผลิตเครื่องบินอันดับสามของโลก จะพิจารณาโครงการลงทุนขยายโรงงานผลิตรถรางในประเทศเม็กซิโก เพื่อรองรับความต้องการเพิ่มบริการรถไฟ และรถรางของรัฐบาลเม็กซิโกซึ่งมีความต้องการเพิ่มจำนวนรถรางรถไฟถึง 250 คันภายในปี คศ. 2012 บริษัท Bombardier มีโงงานอยู่ที่เมือง Sahagun ที่รัฐ Hidalgo ที่มีความสามารถผลิต รถจักร (locomotives) 250 คัน รถขนส่งผู้โดยสารขนาดใหญ่ 375 คัน และรถบรรทุก 3,000 คัน
นอกจากนี้แล้ว บริษัท Bombardier จะยื่นข้อเสนอการลงทุในอุตสาหกรรม aeronautics ในประเทศเม็กซิโก เพื่อการผลิตเครื่องบินอย่างครบวงจรภายในปี 2012 ปัจจุบันมีการผลิตส่วนประกอบของเครื่องบินรุ่น C-series เช่น ระบบไฟฟ้าและท่อไอเสีย ที่รัฐ Queretaro อยู่แล้ว ความสำเร็จของโครงการลงทุนดังกล่าวขึ้นอยู่กับการชักจูงให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ สร้างโรงงานในเขตใกล้เคียงกัน ซึ่งรัฐ Queretaro กำลังเจรจาชักจูงการลงทุนจากผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องอยู่ 8 ราย (แหล่งข่าว: The News pg.15-03/04/08)

การลงทุนในภาคเหมืองแร่
- รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจนาย Eduardo Sojo ได้ประกาศตัวเลขการลงทุนในภาคเหมืองแร่สำหรับปี 2550 ว่ามียอดสูงเป็นประวัติถึง 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และว่ารัฐบาลของ Felipe Calderon มีเป้าหมายจะ
ลงทุนในภาคเหมืองแร่ในระยะ 6 ปี ทั้งหมด 20 พันล้านเหรียญ (แหล่งข่าว: The News pg.15-03/06/08)

การผลิตแร่เงิน
- บริษัท Industrias Penoles ผู้ผลิตแร่เงินรายให่ญ่ที่สุดในโลก ได้ออกหุ้นบริษัท Fresnillo ขายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ประกาศว่าทุนที่คาดว่าจะรณรงค์ได้จากการขายหุ้น 900 ล้านเหรียญจะเป็นการลงทุนขยายการผลิตและจ่ายคืนหนี้บริษัท บริษัท Fresnillo มีความสามารถในการผลิตแร่เงิน 34.4 ล้านออนซ์ และสามารถผลิตแร่ทองได้ 280,000 ออนซ์ ยอดขายเมื่อปี 2550 จำนวน 647.9 ล้านเหรียญฯ (แหล่งข่าว: The News (04/14/08)

บริษัทโทรคมนาคม
- บริษัท America Movil ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ที่สุดในตลาดลาตินอเมริกา ซึ่งนาย Carlos Slim มหาเศรษฐีระดับโลกของเม็กซิโกเป็นเจ้าของ ได้ประกาศผลกำไรลดลงร้อย 5.4 มูลค่ากำไร 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่ำกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ เนื่องจากรายได้ของบริษัทได้ลดลงและต้นทุนการเงินได้เพิ่มสูงขั้น อันเป็นผลให้ราคาหุ้นของบริษัทตกร้อยละ 13 ทั้งนี้ หุ้น America Movil เป็นหุ้นนสำคัญตัวหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ของเม็กซิโก แต่ผู้บริหารการเงินของบริษัทได้ประกาศว่าผลการเงินของบริษัทจะดีขึ้น โดยยอดขายของบริษัทได้เพิ่มขึ้นแต่การขยายบริการในเม็กซิโกและประเทศเพื่อนบ้าน (โคลัมเบีย เปรู เอลซาวาดอร์ ฮอนดูรัส และนิการากัว) ได้ส่งผลให้ต้นทุนการเงินสูงขิ้น เครือข่ายใหม่ของ America Movil จะสามารถให้บริการ download เพลงและวีดีโอได้เร็วขึ้น และราคาค่าบริการได้ลดลงร้อยละ 11 และคาดว่าจะลดลงในอัตราราวเดียวกันในอีก 2ปีข้างหน้า
- บริษัท Telmex ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการโทรศัพท์ตามบ้าน อีกบริษัทหนึ่งของนาย Carlos Slim ได้ประกาศว่าจะออกหุ้นขายบริษัทเครือข่ายต่างชาติของ Telmex ในประเทศ บราซิล โคลัมเบีย อาร์เจนตินา ชิลี เอกัวดอร์ และเปรู ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและต้องการหาทุนเพิ่มเพื่อการขยายการลงทุนในประเทศเหล่านี้ ทึ้งนี้ บริษัท Telmex ได้ส่งดาวเทียมใหม่จาก French Guina ซึ่งมีชื่อว่า C2 มูลค่า 200 ล้านเหรียญฯ จะช่วยให้สามารถขยายพื้นที่ให้บริการได้กว้างขึ้น (แหล่งข่าว: Bloomberg 03/26/08)

การผลิตแร่ทองแดง
- Grupo Mexico บริษัทผู้ลงทุนด้านเหมืองแร่รายใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก ประสบปัญหาสหภาพแรงงานประท้วงเป็นระยะเวลารวม 5 เดือน และได้เริ่มการผลิตใหม่เมือเดือนมกราคม 2008 ได้ประกาศว่าการผลิตอยู่ในอัตราร้อยละ 35 ของความสามารถการผลิต (แหล่งข่าว: Bloomberg 03/24/08)

ข้อสังเกต:
การค้าของประเทศเม็กซิโกได้ขยายเพิ่มขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องจากการส่งเสริมเขตการค้า NAFTA ในปี 2537 ซึ่งมีผลให้การค้าเพิ่มขึ้นในช่วง 6 ปีแรกช่วงการส่งเสริมเขตการค้าเสรี ในอัตราร้อยละ 13.8 และต่อมาได้ลดลงเล็กน้อยในระยะ 5 ปี ถัดมาเป็นร้อยละ 6.2 มาจถึงช่วงปี 2548-2549 ได้ขยายการค้าในอัตราร้อยละ 9.8 ดูแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจประเทศเม็กซิโกมีแนวโน้มที่ดี แต่ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2550 นี้ กำลังประสงปัญหาภาวะราคาสินค้าพื้นฐาน เช่น ข้าวโพด ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเม็กซิกัน กำลังมีราคาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แล้ว เศรษฐกิจเม็กซิโกยังคงพึ่งตลาดสหรัฐฯ เป็นแห่ลงสำคัญแห่งเดียวเช่นเดิม

ข้อเสนอของรัฐบาล Calderon ที่ประสงค์จะ privatize บริษัทน้ำมันแห่งชาติ PEMEX เป็นเรื่องที่จะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของเม็กซิโกอย่างสูง และเป็นภาวะการเมืองที่สำคัญ ที่ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดในระยะข้างหน้า

Thursday, July 3, 2008

การลงทุนอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของเม็กซิโกเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8

Canainca (National Chamber of the Food Packaging Industry ร่วมกับ Packaging Machinery Manufactuers Institute
ได้จัดงาน Expo Pack 2008 ระหว่างวันที่ 24-27 มิ.ย. และได้ให้ข่าวว่า การลงทุนต่างชาติในอตุสาหกรรมบรรจุภัณฑ์นฑ์เม็กซิโก ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 โดยอุตสาหกรรมดังกล่าวมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตเศรษฐกิจรวม

การลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในเม็กซิโก เป็นการลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์การผลิต เพื่อการลดต้นทุนการผลิต โดยเป็นการลงทุนในการขนส่งและเทคโนโลยี 518 ล้านเหรียญ การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ 67 ล้านเหรียญ เพื่อการบูรณะรักษาเครื่องจักรเติม

อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เม็กซิโก ได้เติบโตอย่างต่อนื่องและไม่ลดหย่อนมาเป็นเวลา 20 ปี เป็นการเติบโตที่หาได้ยากในภาคเศษฐกิจต่าง ๆ ของ เม็กซิโก ใน ปี 2007 ได้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.5 และในปีนี้คาดดว่า จะเดิบโตสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ในอัตราประมาณร้อยละ 4-5 อนึ่ง ผู้เข้าร่วมงานได้ออกความเห็นว่า การลงทุนด้าน green packaging ในเม็กซิโกยังล้าหลังอยู่

การจัดงาน Expo Pack ได้รับการสนับสนุนเงินกู้เพื่อการลงทุนจากสถาบันการเงิน Santander และ Northstar Financing

Tuesday, July 1, 2008

การลงทุนต่างชาติเพิ่มขื้นในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา

คณะกรรมธิการภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริเบียนของสหประชาชาติ หรือ ECLAC (Economic Commission for Latin America and the Carribean) ซึ่งมีที่ทำการตั้งอยู่ที่เมืองซานติอาโก ชิลี ตั้งแต่ปี 1966 มีการประชุมระดับถูมิภาคทุก 2 ปี ได้รายงานสรุปภาวะการลงทุนต่างชาติในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริเบียนว่า ภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริเบียน ได้ดึงดูดการลงทุนต่างชาติ (FDI) เป็นมูลค่ารวม 106 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2007 เพิ่มขึ้นร้อยละ 46 เมื่อเทียบกับปีก่อน และเป็นมูลค่าสูงสุดในสติถิที่ได้เริ่มเก็บตั่งแต่ปี 1999 ทั้งนี้ การลงทุนต่างชาติจำนวน 89 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นผลมาจากการแปรสภาพธุรกิจรัฐให้เป็นเอกชนของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค

คณะกรรมาธิการฯ คาดว่า ภาคอุตสาหกรรมของเม็กซิโกและแคริเบียนจะเป็นภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำ ทั้งนี้ในช่วงต้นของปี 2008 นี้ยังไม่เห็นผลกระทบดังกล่าวเนื่องจากการผลของการตัดสินใจด้านการลงทุนจะใช้เวลาประมาณ 9 เดือนจนกว่าจะปรากฏผล และประเทศเม็กซิโกและแคริเบียนสามารถกระจายตลาดการส่งออกไปยัง ญี่ปุ่น ยุโรปและประเทศลาตินอเมริกาอื่น ๆ ทั้งนี้ ตัวเลขการลงทุนใหม่ในภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอของเม็กซิโกได้ลดลง เป็นการสะท้อนความได้เปรียบด้านการแข่งขันที่ลดลง

ประเทศบราซิลเป็นผู้ที่ได้รับการลงทุนสูงสุด จำนวน 34.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภาคบิรการได้รับทุนมากที่สุด โดยรองลงมาได้แก่เม็กซิโกซึ่งรับมูลค่าการลงทุนจำนวน 23.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ผู้ลงทุนสำคัญได้แก่ สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ และสเปน

จำนวนการลงุนในต่างประเทศของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริเบียนได้ลดลงครึงหนึ่ง
จากจำนวน 42 พันล้านในปี 2006 เหลือ 20.6 พันล้านเหรียญฯในปี 2007 ทั้งนี้เพราะ บริษัทเหมืองของบราซิล Companhia Vale do Rio Doce ได้ลงทุนซื้อบริษัทของแคนาดา Inco เมื่อปี 2006

Alicia Bárcena Ibarra ชาวเม็กซิกัน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการคณะกรรมาธิการฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กค.