Google Website Translator

Monday, September 20, 2010

Mexicana Restructuring

สายการบิน Mexicana ปรับโครงสร้างการเงิน

บริษัท Mexicana de Aviación เป็นสายการบินที่สำคัญของเม็กซิโก เป็นสายการบินที่มีประวัติยาวนานอันดับสามของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 2464 ในขั้นเริ่มต้นเป็นสัมปทานเส้นทางการบินภายในประเทศให้กับรัฐบาลเม็กซิโก ขยายเป็นสายการบินภายในและระหว่างประเทศ เคยประสบปัญหาทางเงินสำคัญในปี 2511 และได้คลี่คลายปัญหาโดยการร่วมลงทุนของบริษัท Pan Am และในปี 2538 เมื่อประเทศเม็กซิโกประสบวิกฤตการณ์การเงิน ซึ่งมีผลลดค่าเงินเปโซอย่างรุนแรง รัฐบาลเม็กซิโกได้เข้ายึดกิจการการบินปรับบริษัทฯ เป็นองค์กรของรัฐ (nationalized) โดยรวมกับสายการบิน Aeromexico และต่อมาได้แปรสภาพกลับเป็นธุรกิจเอกชนในปี 2548 โดยมีการร่วมทุนจากกลุ่มลงทุน Grupo Posadas ซึ่งเป็นธุรกิจด้านโรงแรมมีเครือข่ายโรงแรมสำคัญคือกลุ่มเครือข่าย Fiesta Americana ได้เข้าร่วมถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30

ในปัจจุบันสายการบิน Mexicana มีเครื่องบินทั้งหมด 119 ลำและมีเส้นทางการบินทั้งหมด 65 สาย สายสำคัญคือการส่งผู้โดยสารไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก นอกจากนี้แล้วยังมีเส้นทางการบินไปยังแคนาดา กลุ่มประเทศอเมริกากลาง แคริเบี่ยน ประเทศต่าง ๆ ในอเมริกาใต้ และยุโรป สายการบิน Mexicana ได้เข้าร่วมเครือข่ายพันธมิตรสายการบิน Star Alliance ในปี 2543 แต่เปลี่ยนไปร่วมเครือข่าย Oneworld Alliance ในปี 2552 แทน คาดว่า Mexicana จะมียอดการขนส่งผู้โดยสารได้ประมาณ 12 ล้านคนในปี 2553 คู่แข่งสำคัญคือสายการบิน Aeromexico ที่เป็นสายการบินภายในประเทศที่ครองตลาดภายในประเทศของเม็กซิโก รวมทั้งสายการบินต้นทุนต่ำใหม่สองบริษัท คือ Volaris และ Interjet ที่เริ่มการบินเมื่อปี 2548 และได้แย่งตลาดของ Mexicana ไปได้ถึงร้อยละ 10 ในปี 2552 Mexicana มีสัดส่วนการครองตลาดร้อยละ 22 ลดลงจากร้อยละ 32 ในปี 2548

Mexicana เริ่มประสบปัญหาทางการเงินตั้งแต่ปลายปี 2551 เมื่อวิกฤตการณ์การเงินของสหรัฐฯ ได้มีผลลดจำนวนผู้เดินทางลง และต่อมาในต้นปี 2552 การระบาดไข้หวัด N1H1 ทำให้มีผู้โดยสารเดินทางมางเม็กซิโกน้อยมากเป็นระยะเวลา 2-3 เดือน ทำให้รายได้ในปีนั้นลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ในปีที่มีการบินโดยปกติ ผนวกกับภาวะราคาน้ำมันที่แพงขึ้นในปีเดียวกัน ทำให้ Mexicana แบกภาระการขาดทุนติดต่อกันมา 2 ปี ภาระหนี้ในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 796 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อต้นปี 2553 Mexicana ได้พยายามที่จะขายพันธบัตรตราสารหนี้มูลค่า 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อมาในเดือนกรกฏาคม 2553 ได้มีข่าวว่า บริษัท Mexicana อาจจะต้องแจ้งภาวะการขอป้องกันภายใต้ภาวะล้มละลายต่อศาลแพ่งเม็กซิโก และเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2533 Air Canada ซึ่งได้เป็นผู้จ้างเช่าเครื่องบินและเส้นทางการบินจาก Montreal และ Calgary ได้สั่งระงับการบินและยึดเครื่องบิน 2 ลำที่ Mexicana ใช้อยู่ และได้เรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการเงินของ Mexicana ในวันที่ 2 สิงหาคม Mexican ได้ประกาศระงับเส้นทางการบินระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกหลายเส้นทาง เช่นระหว่าง L.A. ถึง Puerto Vallarta Guadalajara และ Mexico City ซึ่งสำหรับ Mexico City เป็นการลดเที่ยวบินจาก 6 เที่ยวเป็น 4 เที่ยวแทน นอกจากนี้แล้ว ในวันที่ 30 กรกฏาคม องค์กรบริหารการบินของสหรัฐฯ Federal Aviation Administration ได้ลดการจัดระดับความปลอดภัยของสายการบินจากเม็กซิโก โดยให้เหตุผลว่ามีการขาดคุณสมบัติบางประการของสายการบินเม็กซิกัน ทั้งของ Mexicana และ Aeromexico ซึ่งมีผลในทางปฏิบัติห้ามไม่ให้สายการบินของเม็กซิโกขยายบริการในสหรัฐฯ รวมทั้งไม่สามารถใช้ code sharing กับสายการบินของสหรัฐฯ

สหภาพแรงงานของสายการบิน Mexicana ซึ่งมีสมาชิกเป็นนักบินและผู้ให้บริการบนเครื่องประมาณ 1,500 คน ได้ยืนยันว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ ได้ขอเจรจากับสหภาพฯ เพื่อขอลดค่าจ้างและสิทธิต่าง ๆรวมทั้งการการตัดจำนวนลูกจ้างประมาณ 500 คน โดยมีข้อเสนอการแลกถือหุ้นหนี้ของบริษัทฯ และมีกำหนดต้องสิ้นสุดการเจรจากับสหภาพฯ ในวันที่ 9 สิงหาคม การลดต้นทุนค่าแรงเป็นปัจจัยสำคัญของการปรับโครงสร้างการเงินของบริษัทฯ แต่ปรากฏว่ สหภาพฯ ไม่ยอมรับข้อเสนอของบริษัทฯ Mexicana จึงได้ยื่นขอการคุ้มครองเพื่อการดำเนินการกิจการในภาวะวิกฤตการณ์การเงินที่ได้รับการป้องกันจากเจ้าหนี้และเพื่อเปิดทางให้มีการปรัโครงสร้างทาง ทั้งในสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมายแพ่งสหรัฐฯ Chapter 15 และในเม็กซิโกภายใต้กฎหมาย Ley de Concursos Mercantiles (LCM) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2553

กฏหมายล้มละลายของเม็กซิโก (LCM) ได้มีการแก้ไขในปี 2550 เพื่อช่วยให้บริษัทที่ประสบปัญหาทางการเงินสามารถขอการป้องกันจากเจ้าหนี้ในช่วงการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยศาลของเม็กซิโกจะดำเนินการพิจารณาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่กี่เดือน หากผู้ร้องขอมีการกำหนดแผนการปรับโครงสร้างทางการเงินที่ได้เจรจากับเจ้าหนี้ล่วงหน้าไว้แล้ว และได้มีบริษัทเม็กซิกันหลายแห่งที่ได้ขอสถานะภายใต้กฎหมายดังกล่าว รายที่ใหญ่ที่สุดคือเครือซุปเปอร์มาร์เก็ต Comercial Mexicana ที่ได้มีปัญหาหนี้มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สืบเนื่องมาจากทำสัญญาซื้อขายเงินตราล่วงหน้าที่ไม่ได้คาดการณ์ถึงการลดค่าเงินเปโซประมาณร้อยละ 25 ในปี 2552

ในวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ธนาคาร Banorte ซึ่งเป็นธนาคารอันดับสามของเม็กซิโก ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายหนึ่งของบริษัท Mexicana ได้แถลงข่าวว่า Mexicana มีภาระหนี้กับธนาคาร Banorte ในจำนวน 156 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบเท่ากับร้อยละ 0.3 ของทรัพย์สินรวมของธนาคารฯ และคาดว่าปัญหาการเงินของ Mexicana จะไม่มีกระทบต่อการดำเนินการของ Banorte ซึ่งกำลังฟื้นตัวได้จากภาวะเศรษฐกิจซบเซาของสองปีที่ผ่านมา

แหล่งข่าวและข้อมูลเพิ่มเติม:
http://www.mexicana.com/
http://en.wikipedia.org/wiki/Mexicana_de_Aviaci%C3%B3n
http://www.businessweek.com/news/2010-08-02/mexicana-seeks-to-resolve-critical-financial-ills.html
http://www.reuters.com/article/idUSN2924804520100730
http://www.reuters.com/article/idUSN0316490620100203
http://blog.seattlepi.com/worldairlinenews/archives/216857.asp

Wednesday, September 15, 2010

Manganese and manganese sulfate production, Mexico

การขายเกลือแมงกานีสซัลเฟต แร่ธาติเพื่อการปุ๋ย และผลิตอาหารสัตว์ในเม็กซิโก

Maganese sulphate (MnSO4) เป็นสารเคมีประเภทเกลือสีออกชมพู ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ เป็นผลผลิตข้างเคียงที่ได้มาจากการสังเคราะห์แร่แมงกานีสที่เป็นแร่สำคัญที่นำไปใช้ในเพิ่มความแข็งแกร่งของเหล็ก แหล่งผลิตสำคัญของแร่แมงกานีส (ร้อยละ 80 ของผลผลิตโลก) มาจากประเทศแอฟริการใต้ และยูเครน ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่มีแร่แมงกานีสในปริมาณมากรองลงมาได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย จีน กาบอน บราซิล และเม็กซิโก การผลิตส่วนใหญี่ในเม็กซิโกจะนำไปใช้อุตสาหกรรมการหล่อเหล็กภายในประเทศ มีการส่งออกบางส่วนไปยังสหรัฐฯ

เม็กซิโกได้เริ่มผลิตแร่แมงกานีสในปริมาณมากในปี คศ. 1960 เมื่อค้นพบแหล่งแร่แมงกานีสในปริมาณสูงในเหมือง Molango รัฐ Hidalgo โดยบริษัท Compania Minera Autlan ได้เริ่มการผลิตจากปี คศ. 1968 เป็นต้นมา ได้มีการประเมินผลผลิตสำรองของแร่แมกานีสในเหมืองดังกล่าวว่ามีปริมาณ 1.5 ล้านตัน ได้มีการผลิตแร่แมงกานีสระหว่างปี คศ. 1980-1989 ปริมาณ 40,000 เมตริกตันต่อปี ในปี คศ. 1996 ได้มีการขาย manganese carbonates ในปริมาณ 103,000 ตัน oxide nodules 363,000 ตัน และ manganese dioxide plus manganous oxide 19,000 ตัน การผลิตแร่ดังกล่าวพยายามรักษาสัดส่วนการขุดเจาะให้รักษาระดับปริมาณสำรองต่อการผลิตในอัตรา 1 ต่อ 20 นอกจากเหมืองสำคัญของรัฐ Hidalgo แล้วมีแหล่งอื่น ๆ ที่ให้ผลผลิตของแร่แมงกานีสในปริมาณน้อยที่รัฐ Chihuahua, Durango, Michoacan, San Luis Potosi และ Zacatecas

บริษัททำเหมือง Minera Autlán SA เป็นผู้ผลิตแร่แมงกานีสที่สำคัญที่สุดของเม็กซิโก เดิมเป็นองค์กรของรัฐแต่ได้รับการแปรสภาพเป็นธุรกิจเอกชนในปี คศ. 1993 โดยกลุ่มการลงทุน Ferrominero SA de CV ได้รับการลงทุนใหม่จำนวน 66 ล้านเหรีญสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2003 ขยายการผลิตได้ถึงร้อยละ 70 มีผลผลิตสูงสุดตั้งแต่ดำเนินการในปีนั้นได้ 111,641 ตัน

สำหรับเคมีภัณฑ์แมงกานีสซัลเฟตนั้น ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกได้แก่ประเทศจีน ซึ่งมีการผลิตในปริมาณสูง แต่คุณภาพอาจจะไม่คงที่ ส่วนการผลิตในเม็กซิโกได้เริ่มขึ้นในปี คศ. 1997 เมื่อบริษัท TETRA Technologies ได้ซื้อบริษัท Sulfamex เพื่อทำการผลิต manganese sulfate ในเมือง Tampico รัฐ Veracruz โดยกระบวนการผลิตแบบ monohydrate และมีความสามารถผลิตได้ 20,000 ตัน ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 ได้ขายกิจการให้แก่บริษัท Comilog ในเครือข่ายของ Eramet

มีบริษัทเคมีภัณฑ์ในเม็กซิโกที่ทำการผลิตและค้าสารเคมีแมงกานีสซัลเฟตจำนวนหนึ่ง ดังรายชื่อบริษัทฯ ที่ค้นหาจากอินเตอร์เน็ต (www.cosmos.com.mx) ได้ดังนี้

โรงงานผลิตแมงกานีสซัลเฟต รัฐเวราครูซ เม็กซิโก

Maganese sulphate (MnSO4) เป็นสารเคมีประเภทเกลือสีออกชมพู ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ เป็นผลผลิตข้างเคียงที่ได้มาจากการสังเคราะห์แร่แมงกานีสที่เป็นแร่สำคัญที่นำไปใช้ในเพิ่มความแข็งแกร่งของเหล็ก แหล่งผลิตสำคัญของแร่แมงกานีส (ร้อยละ 80 ของผลผลิตโลก) มาจากประเทศแอฟริการใต้ และยูเครน ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่มีแร่แมงกานีสในปริมาณมากรองลงมาได้แก่ ออสเตรเลีย อินเดีย จีน กาบอน บราซิล และเม็กซิโก การผลิตส่วนใหญี่ในเม็กซิโกจะนำไปใช้อุตสาหกรรมการหล่อเหล็กภายในประเทศ มีการส่งออกบางส่วนไปยังสหรัฐฯ

เม็กซิโกได้เริ่มผลิตแร่แมงกานีสในปริมาณมากในปี คศ. 1960 เมื่อค้นพบแหล่งแร่แมงกานีสในปริมาณสูงในเหมือง Molango รัฐ Hidalgo โดยบริษัท Compania Minera Autlan ได้เริ่มการผลิตจากปี คศ. 1968 เป็นต้นมา ได้มีการประเมินผลผลิตสำรองของแร่แมกานีสในเหมืองดังกล่าวว่ามีปริมาณ 1.5 ล้านตัน ได้มีการผลิตแร่แมงกานีสระหว่างปี คศ. 1980-1989 ปริมาณ 40,000 เมตริกตันต่อปี ในปี คศ. 1996 ได้มีการขาย manganese carbonates ในปริมาณ 103,000 ตัน oxide nodules 363,000 ตัน และ manganese dioxide plus manganous oxide 19,000 ตัน การผลิตแร่ดังกล่าวพยายามรักษาสัดส่วนการขุดเจาะให้รักษาระดับปริมาณสำรองต่อการผลิตในอัตรา 1 ต่อ 20 นอกจากเหมืองสำคัญของรัฐ Hidalgo แล้วมีแหล่งอื่น ๆ ที่ให้ผลผลิตของแร่แมงกานีสในปริมาณน้อยที่รัฐ Chihuahua, Durango, Michoacan, San Luis Potosi และ Zacatecas

บริษัททำเหมือง Minera Autlán SA เป็นผู้ผลิตแร่แมงกานีสที่สำคัญที่สุดของเม็กซิโก เดิมเป็นองค์กรของรัฐแต่ได้รับการแปรสภาพเป็นธุรกิจเอกชนในปี คศ. 1993 โดยกลุ่มการลงทุน Ferrominero SA de CV ได้รับการลงทุนใหม่จำนวน 66 ล้านเหรีญสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2003 ขยายการผลิตได้ถึงร้อยละ 70 มีผลผลิตสูงสุดตั้งแต่ดำเนินการในปีนั้นได้ 111,641 ตัน

สำหรับเคมีภัณฑ์แมงกานีสซัลเฟตนั้น ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกได้แก่ประเทศจีน ซึ่งมีการผลิตในปริมาณสูง แต่คุณภาพอาจจะไม่คงที่ ส่วนการผลิตในเม็กซิโกได้เริ่มขึ้นในปี คศ. 1997 เมื่อบริษัท TETRA Technologies ได้ซื้อบริษัท Sulfamex เพื่อทำการผลิต manganese sulfate ในเมือง Tampico รัฐ Veracruz โดยกระบวนการผลิตแบบ monohydrate และมีความสามารถผลิตได้ 20,000 ตัน ต่อมาในปี ค.ศ. 2000 ได้ขายกิจการให้แก่บริษัท Comilog ในเครือข่ายของ Eramet

มีบริษัทเคมีภัณฑ์ในเม็กซิโกที่ทำการผลิตและค้าสารเคมีแมงกานีสซัลเฟตจำนวนหนึ่ง ดังรายชื่อบริษัทฯ ที่ค้นหาจากอินเตอร์เน็ต (http://www.cosmos.com.mx/) ได้ดังนี้

1. บริษัท Erachem Comilog (Sulfamex)
ที่อยู่: Domicilio Conocido, Carretera Tampico-Valles Km 28, Tamos, Panuco, Veracrua, Mexico 92018
csmex@erametgroup.com , http://www.erachem-comilog.com/
โทรศัพท์: +52 - 833 357 5801
แฟกซ์: +52 - 833 357 5811
2. บริษัท Camara Suarez
ผู้จัดการฝ่ายขาย: นาง Martha Montaño
ที่อยู่: Calle 26 No. 1169, Col. Zona Industrial, Guadalajara, Jalisco México 44940
เวปไซท์: http://www.camarasuarez.com.mx/
โทรศัพท์: (+33) 3145-1308
แฟกซ์ (+33) 3145-3548

3. บริษัท CIA Tratamiento de cobre y sulfato
ผู้จัดการฝ่ายขาย: นาย Eligio Campos
ที่อยู่: Calle Aquiles Serdán No. 5 Col. Los Angeles , Acolman, Edo. de Méx. 55885
เวปไซท์: http://www.tratcob.com.mx/
โทรศัพท์: (+55) 2958-8242, 2958-8278, 2958-8206
แฟกซ์ (+55) 2958-8206
4. บริษัท QBinden
ผู้จัดการฝ่ายขาย: นาย Juan Manuel Fuentes Aguirre
ที่อยู่: Cuauhtémoc No. 15 Col. El Cardonal, Xalostoc, Edo. de Méx. 55320
เวปไซท์: http://www.qbinden.com/
โทรศัพท์: (+55) 5569-6027 y 5699-7911
แฟกซ์ (+5) 5699-7911

5. บริษัท OUMAG
ผู้จัดการฝ่ายขาย: นาย Alfonsina Fragoso
ที่อยู่: Carr. Guadalajara-Chapala km. 17.5, No. 8100, Col. Potrero, El Llano, Tlajomulco de Zúñiga, Jalisco 45640
เวปไซท์: http://www.quimicosaguila.com/
โทรศัพท์: (+33) 3688-6766, 3688-6719, 3688-6720
แฟกซ์ (+33) 3688-6720
6. บริษัท VWR International
ผู้จัดการฝ่ายขาย: นาย Alvaro Reyes
ที่อยู่: Km. 14.5 Carretera Tlalnepantla-Cuautitlán Col. Lechería, Tultitlán, Edo. de Méx. 54940
เวปไซท์: http://mx.vwr.com/
โทรศัพท์: (+55) 5005-0100, (+01-800) 759-8974
แฟกซ์: (+55) 5005-0126

แหล่งข้อมูล:
http://www.univarquimicos.com.mx/
http://www.grupoalianzaempresarial.com/erachemmexicosadecv_e_548885.html
http://www.eramet.fr/us/Site/Template/ACCUEIL.aspx?SELECTID=1&
http://www.erachem-comilog.com/About/mexico.html

Monday, September 13, 2010

Testing Gulf of Mexico seafood safety

การทดสอบความปลอดภัยอาหารทะเลในอ่าวเม็กซิโก

เมื่อประมาณกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติการเปิดตกปลาจับกุ้งและสัตว์ทะเลในน่านน้ำอ่าวเม็กซิโก ที่ได้รับผลเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของน้ำมันในท้องทะเล ในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2553 แต่กลุ่มชาวประมงบางกลุ่ม นักวิทยาศาสตร์อิสระ และกลุ่มผุ้บริโภคหลายกลุ่ม ยังต่อต้านการเปิดการทำประมงอย่างรวดเร็วโดยขาดการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรอบคอบ กลุ่มที่ต่อต้านดังกล่าว ได้เรียกร้องให้มีความรัดกุมในกระบวนการทดสอบเพื่อวัดความปลอดภัยของอาหารทะเล โดยเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการทดสอบทุกรายการ และได้ขอให้มีการจัดสรรเงินทุนเพื่อการวิจัยมากขึ้น ชาวประมงในพื้นที่รอบอ่าวฯ ต่างคาดกันว่ายังคงต้องให้เวลาอีกนานกว่าความมั่นใจเกี่ยวกับสินค้าประมงจากอ่าวฯ จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ดี ทางการสหรัฐฯ ได้ยืนยันว่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการรั่งไหลของน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกได้คลี่คลายแล้ว และกระบวนการทดสอบต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินมาตั้งแต่ปลายเดือนกรกฏาคมได้ชี้ผลว่า สินค้าประมงที่จับได้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานของอาหารทะเลปกติ

สถาบันบริหารน่านน้ำและภาวะแวดล้อมแห่งชาติของสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration- NOAA) ได้ร่วมมือกับสถาบันอาหารและยา (FDA) สถาบันป้องกันสิ่งแวดล้อม (Evironmental Protection Agency) และเจ้าหน้าที่รักษาป่าไม้และสัตว์ป่าของรัฐต่างๆ รอบๆ อ่าวเม็กซิโก เพื่อทำการทดสอบความปลอดภัยด้านอาหารของสัตว์น้ำที่จับได้ในพื้นที่อ่าว เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการระเบิดบ่อขุดน้ำมัน Deep Horizon

การทดสอบความปลอดภัยของอาหารทะเลสำหรับสินค้าประมง ต้องผ่านกกระบวนการทดสอบสองขั้นตอน เมื่อไม่พบเห็นน้ำมันลอยบนผิวน้ำ ขึ้นแรกเป็นการทดสอบอย่างง่าย ๆ โดยพนักงานตรวจสอบ ที่ตระเวนสุ่มจัดตัวอย่างในหมู่ชาวประมง และในโรงงานที่เตรียมอาหารทะเลทั้งหลาย จะดมตัวอย่างอาหารทะเลที่จับได้เป็นร้อย ๆ ตัวอย่างสำรับพื้นที่น้ำในอ่าวพื้นที่หนึ่ง หากปลา กุ้ง หรือสัตว์ประมงที่จับได้ มีกลิ่นน้ำมันหรือกลิ่นของสารเคมีที่ได้ฉีดกระจ่ายลงไปในอ่าวเพื่อการสลายน้ำมัน ติดตามตัวอย่างดมกลิ่นได้อย่างชัดเจน เขตพื้นที่น้ำที่จับตัวอย่างปลานั้น ๆ จะไม่ได้รับการอนุมัติให้เปิดน่านน้ำเพื่อการประมง ในกรณีตัวอย่างที่พนักงานตรวจดมแล้วไม่พบว่ามีกลิ่นน้ำมันหรือสารเคมีติดตัวอย่าง พนักงานตรวจสอบต้อง จัดตัวอย่างใส่ขวดบรรจุในกล่องน้ำแข็งแห้งส่งไปทำการทดสอบด้านเคมีในศูนย์ทดสอบของ NOAA ที่อยู่ที่เมือง Seattle อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า ในจำนวน 1700 กลุ่มตัวอย่างที่ได้ทดสอบทั้งหมด มีเพียงตัวอย่างเดียวที่ไม่ผ่านการทดสอบ ซึ่งเป็นการทดสอบที่ได้ทำในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่อ่าว Orange Beach รัฐ Alabama จึงได้มีการอนุมัติเปิดน่านน้ำในอ่าวเม็กซิโกเพื่อการประมงในพื้นที่ประมาณร้อยละ 70 ของอ่าว ทั้งนี้ ผลผลิตการประมงของอ่าวเม็กซิโกมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 20 ของการผลิตสินค้าอาหารประมงภายในของสหรัฐฯ

การทดสอบความปลอดภัยด้านอาหารของสินค้าอาหารทะเล โดยกระบวนการทางเคมี จะเป็นการทดสอบหาสารที่เรียกว่า polycyclic aromatic hydrocarbons หรือ PAH ซึ่งเป็นสารที่พบได้ในอาหารโดยทั่วไปที่เพาะปลูกในพื้นที่ ๆ ได้รับมลภาวะสูงหรือจากการย่างเผาของอาหารในอุณหภูมิที่สูง PAH เป็นสารที่เกิดได้จากมลภาวะจากน้ำมัน จากควันรถยนต์ จากการย่างเผา แม้กระทั่งจากควันบุหรี่ หรือจากการรมควัน มาตรฐานระดับ PAH ที่ถือว่าเป็นอันตรายต่อการบริโภค คือระดับ 12 หรือ 35 ส่วนของ benzo(a)pyrene ต่อพันล้าน (ppb) สัดส่วนของ benzo(a)pyrene ที่ได้ค้นพบในพื้นที่แถวรัฐ Florida มีแค่ 1 ppb ส่วนการทดสอบความปลอดภัยด้านอาหารของสินค้าอาหารทะเล จากสารที่ใช้ละลายน้ำมันยังอยู่ระหว่างการพัฒนา และได้รับการวิจารณ์จากผู้ที่คัดค้านการเปิดประมงอย่างรวดเร็ว

สาเหตุที่ปลาที่ว่ายน้ำในพื้นอ่าวที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมัน ไม่แสดงผล PAH สูง เป็นเพราะว่า ปลาจำพวกที่นำมาเป็นอาหารทะเล เช่น ปลาเก๋า ปลาทูน่า และปลากระพง มีกระบวนการเผาผลาน (metabolize) PAH ได้อย่าวรวดเร็ว จึงมักจะมีการอนุมัติให้เปิดการจับปลาในพื้นที่น้ำทะเลที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมัน ได้ก่อนสัตว์น้ำประมงอื่น ๆ การเผาผลาน PAH ของกุ้งจะอยู่ในระดับปานกลาง ในขณะนี้ ได้มีการอนุมัติให้จับกุ้งได้แล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดการอนุมัติการจับปูและหอยนางรม ที่มีอัตราการแปรสภาพ PAH ที่ช้าที่สุด

แหล่งข่าวอ้างอิง:
http://news.yahoo.com/s/ap/20100816/ap_on_he_me/us_med_healthbeat_seafood
http://www.usatoday.com/news/nation/2010-08-23-shriming-season-gulf-mexico_N.htm

Wednesday, September 8, 2010

Mexico puts tariffs on more U.S. goods in truck row

สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่ม เนื่องจากข้อพิพาทการค้า เกี่ยวกับการเดินรถบรรทุกข้ามแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ

ภูมิหลัง

เม็กซิโกได้คัดค้านการที่สหรัฐฯ กีดกันไม่ให้รถบรรทุกเม็กซิกันสามารถขับข้ามชายแดนเกิน 25 ไมล์ ตั้งแต่ปี 2544 โดยให้เหตุผลว่าขัดกับหลักการของข้อตกลงเขตการค้าเสรี NAFTA ซึ่งเป็นผลให้ประธานาธบดีบุชริเริ่มโครงการนำร่องให้รถบรรทุกเม็กซิกันสามารถขับข้ามชายแดนได้และเดินทางได้อย่างเสรีทั่วสหรัฐฯ และได้มีผลปฏิบัติมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งระหว่างปี 2549-2551 โครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสมาคมผู้ขัรถบรรทุกและสภาหอการค้าของอเมริกัน โดยได้มีบริษัทขนส่งเม็กซิกันที่ได้รับประโยชน์เข้าร่วมโครงการฯ ประมาณหนึ่งร้อยบริษัท มีรถบรรทุกร่วมโครงการจำนวน 500 คัน และในหนึ่งปีครึ่งนั้น ได้มีการเดินรถบรรทุกไปกลับอย่างเสรีระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ แล้ว 45,000 เที่ยว

แต่เมื่อประธานาธิบดีโอบามา ได้เข้ารับตำแหน่งใหม่ในปี 2552 โครงการนำร่องดังกล่าวได้ถูกตัดออกไปจากงบประมาณการเงินประจำปี 2552 โดยโครงการนำร่องดังกล่าวได้รับการต่อต้านจากสหภาพแรงงานของผู้ขับรับบรรทุกฝ่ายสหรัฐฯ โดยอ้างเหตุผลเรื่องมาตรฐานการฝึกการขับรถบรรทุกและนโยบายการประกันรถบรรทุกของเม็กซิโกที่ไม่ได้มาตรฐานและเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐฯ

ฝ่ายเม็กซิโกมองเห็นว่า การห้ามมิให้รถบรรทุกเม็กซิกันข้ามชายแดนได้อย่างเสรีเป็นการกีดกันการค้า โดยเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 รัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก นาย Gerardo Ruiz ได้ประกาศการเริ่มใช้มาตรการโต้ตอบทางภาษี ขึ้นภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราระหว่างร้อยละ 10 ถึง 45 สำหรับรายการสินค้าเกษตรรวม 90 รายการ รวมผักผลไม้ ไวน์ และน้ำผลไม้ ซึ่งนำเข้าจาก 40 รัฐของสหรัฐอเมริกา มูลค่ารวมประมาณ 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีข้อยกเว้นเฉพาะสำหรับรายการอาหารหลัก เช่น ข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี และผลิตภัณท์เนื้อ เริ่มบังคับวันพฤหัสที่ 19 มีนาคม 2552

ประธานาธิดีของเม็กซิโกนายคัลเดรอน ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการกีดกันกาค้าที่อาจเกิดขึ้นสืบเนื่องจากวิกฤตการณ์การเงินของสหรัฐฯ รวมทั้งกรณีการยกเลิกโครงการนำร่องดังกล่าวตั้งแต่กลางปี 2552 และได้มีท่าทีว่าจะสามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าวได้ในต้นปี 2533 แต่ปรากฎว่าเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปีโดยผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐฯ ไม่ได้ชี้แจงท่าทีว่าจะนำโครงการนำร่องดังกล่าวนี้กลับมาปฏิบัติต่อ อีกทั้งยังได้มีมาตรการกีดกันคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้น
กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกจึงได้ประกาศยืดระยะเวลาการเก็บภาษีนำเข้าในรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เพิ่มเป็น 99 รายการ แต่ระดับภาษีอยู่ระหว่างร้อยละ 5-20 ทั้งนี้เพราะข้อตกลงการค้านาฟต้ากำหนดไว้ว่าการเก็บภาษีโต้ตอบกรณีข้อพิพาทใด ๆ จะต้องไม่เกิน 2.5 พันล้านเหรียญ เม็กซิโกจึงได้เพิ่มรายการสินค้าให้กระจายไปมากกว่าเดิม โดยได้ตัดสินค้าบางอย่างออกไป และเพิ่มรายการที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งในรายการใหม่นี้ รวมถึงสินค้าประเภทเนื้อหมู ชีส ผักและผลไม้
ตลาดการส่งออกเนื้อหมูจากสหรัฐฯไปยังเม็กซิโก เป็นตลาดที่สำคัญสำหรับสหรัฐฯ และในปี 2552 เม็กซิโกได้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ มูลค่า 762 ล้านเหรียญสหรัฐฯ การประกาศมาตรการเก็บภาษีสินค้าเนื้อหมูจึงย่อมมีผลกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐฯ ในหมวดสินค้าดังกล่าว และผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกหมูของสหรัฐฯ เองก็ได้ให้ข่าวว่า มีความผิดหวังในความล่าช้าของรัฐบาลโอบามาในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททารการค้าดังกล่าว

รายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากวันที่ 18 สิงหาคม 2553 เป็นต้นไป

รหัส HS: รายการสินค้า: ภาษีที่เรียกเก็บใหม่

0203.12.01 ขาหมูไม่ถอดกระดูก หมูบด หมูชิ้น 5%
0203.22.01 ขาหมูไม่ถอดกระดูก หมูบด หมูชิ้น 5%
0406.10.01 ชีสสด 25%
0406.30.99 สินค้าจากนมประเภทอื่น ๆ 25%
0406.90.04 ชีสประเภท Grana หรือ Parmegiano-reggiano ที่มีสัดส่วนไขมัน 20% ร้อยละ 40 ที่มีน้ำร้อยละ 40 ประเภท Danbo, Edam, Fontal, Fontina, Fynbo, Gouda, HAVARTA, MARIBO, Samsoe, Esrom, Italaico, Kermhe, Saint Nectiare, Saint-Paulin, Taleggio ที่มีสัดส่วนไขมัน ร้อยละ 40
น้ำเกินกว่าร้อยละ 47 แต่ไม่เกินร้อยละ 72
0406.90.99 ชีสและไขจากนมประเภทอื่น ๆ 25%
0604.91.02 ต้นครีสมาส 20%
0703.10.01 หัวหอม 10%
0705.11.07 ผักกาด 10%
0710.40.01 ข้าวโพดหวาน 15%
0802.12.01 เมล็ดถั่วไม่มีเปลือก 20%
0802.50.01 เมล็ดถั่วสด 20%
0802.50.99 เมล็ดถั่วประเภทอื่น ๆ 20%
0804.10.01 ลูกเด้ทสด 20%
0804.10.99 ลูกเด็ทอื่น ๆ 20%
0805.10.01 ส้ม 20%
0805.40.01 ส้มโอ 20%
0806.10.01 องุ่นสด 20%
0808.10.01 แอ็ปเปิ้ล 20%
0808.20.01 แพร์ 20%
0809.10.01 แอพริก็อด 20%
0809.20.01 เชอรี่ 20%
0810.10.01 สตอเบอรี่ 20%
0813.30.01 แอ็ปเปิ้ล 20%
0813.50.01 ผลไม้แห้งผสมต่างๆ 20%
1104.12.01 โอ๊ต 10%
1602.49.01 หนังหมูสุก 20%
1704.10.01 หมากฝรั่ง 20%
1806.31.01 ช็อคโกแล็ตมีใส้ 20%
1806.32.01 ช็อคโกแล็ตไม่มีใส้ 20%
1902.19.99 พาสต้าอื่น ๆ 10%
2004.10.01 แผ่นมันทอด 5%
2005.40.01 ผักอบแห้ง 20%
2008.11.99 ส่วนผสมผลไม้แห้งและถั่ว 20%
2008.19.01 เมล็ดอัลมอนด์ 20%
2008.19.99 ถั่วอื่น ๆ 20%
2008.60.01 เชอรี่แห้ง 20%
2009.80.01 น้ำผลไม้ 20%
2009.90.01 น้ำผลไม้ผสม 20%
2009.90.99 น้ำผลไม้อื่นๆ 20%
2103.10.01 ซิอิ้ว 20%
2103.20.01 เค็จอัพ 20%
2103.90.99 ซ้อสปรุงแต่งอื่นๆ 20%
2104.10.01 เครื่องปรุงซุปสำเร็จรุป 10%
2106.90.06 น้ำผลไม้เข้มข้น 15%
2106.90.07 น้ำผลไม้เข้มข้มผสมประเภทต่าง ๆ 15%
2106.90.08 น้ำผลไม้ผสมต่าง ๆ 15%
2201.10.01 น้ำแร่ 20%
2204.10.99 น้ำองุ่นอื่นๆ 20%
2204.21.02 ไวน์แดง ชมพู และขาว สัดส่วนแอลกอฮอถึงร้อยละ 14 20%
2206.00.99 น้ำผลไม้หมัดประเภทอื่น ๆ 20%
2306.30.01 เมล็กทานตะวัน 15%
2306.49.99 เมล็กอื่น ๆ 15%
2309.10.01 อาหารสำหรับสุนัขและแมว 10%
3213.10.01 สีต่างๆ 10%
3304.30.01 เครื่องสำอางค์สำหรับการทำเล็บ 10%
3304.99.99 เครื่องสำอางค์อื่นๆ 5%
3305.10.01 แชมพู 10%
3305.30.01 น้ำยาเคลื่อบผม 10%
3305.90.99 อื่น ๆ 10%
3306.10.01 สินค้าเกี่ยวกับฟัน 10%
3306.90.99 สนค้าเกี่ยวกับฟ้นอื่น ๆ 15%
3307.10.01 เครื่องสำอางค์สำหรับการโกนหนวด 15%
3307.20.01 น้ำยาดับกลิ่มตัว 15%
3405.30.01 น้ำยาเคลือบรถยนต์ 15%
3506.91.03 กาวประเภทต่าง 10%
3924.10.01 เครื่องแก้วสำหรับครัวเรือน 15%
3924.90.99 เครื่องแก้วอื่น ๆ 15%
3926.40.01 เครื่องใช้ในครัวเรือนที่เป็นพลาสติก 15%
4015.19.99 ถุงมือยาง 15%
4016.91.01 เครื่องปูพื้นที่ทำจากยางและพรหม 10%
4818.10.01 กระดาษชำระ 5%
4820.20.01 สมุดเขียน 5%
4901.99.99 อื่น ๆ 15%
4911.99.02 ตั่วพิมพ์ประเภทต่าง ๆ 15%
4911.99.03 สิ่งพิมพ์สำหรับการเขียน 15%
4911.99.05 บัตรพลาสติกพิมพ์ 15%
5511.10.01 เส้นด้ายสังเคราะห์ที่มีส่วนสังเคราะห์เกินร้อยละ 85 15%
7013.49.03 เครื่องแก้ว 15%
7612.90.99 กระป่องประเภทอะลูมิเนียม 15%
8302.41.02 เครื่องประกอบการทำผ้าม่าน 15%
8304.00.99 เครื่องประกอบการแขวนอื่นๆ 15%
8418.10.99 เครื่องทำความเย็นประเภทต่าง ๆ 15%
8418.21.01 เครื่องทำความเย็นระบบคอมเพรชั่น 20%
8419.81.01 เครื่องทำกาแฟ 15%
8421.39.99 เครื่องกรองสำหรับแก๊ซ 5%
8422.11.01 เครื่องทำความสะอาด ล้างจาน 15%
8429.59.01 เครื่องจักรสำหรับการขุด 15%
8450.12.01 เครื่องซักผ้าสำหรับครัวเรือน 20%
8450.10.99 เครื่องซักผ้าอื่นๆ 15%
8516.79.99 เครื่องเป่าผม 15%
9004.10.01 แว่นกันแดด 10%
9020.00.01 หน้ากากกันแก์ซ 5%
9504.30.99 อุปกรณ์การพันันร้านเกม 15%
9608.10.01 เครื่องเขียนทำจากส่วนผสมเหล็กทั่วไป 15%
9608.10.99 เครื่องเขืยนอื่น ๆ 15%
9806.20.01 เครื่องเขียนหมึกสี 15%
9608.99.99 เครื่องเขียนอื่น ๆ 15%
9609.10.01 ดินสอ ยกเว้น 9609.10.02 15%

แหล่งข้อมูล

Diaro Oficial, 18 Agosto, 2010, Secretario de Economia y Secretario de Hacienda y Credito Publico
http://news.yahoo.com/s/nm/20100816/pl_nm/us_mexico_trucks

Monday, September 6, 2010

Fair Trade Mexico

การค้าโดยชอบธรรม-แฟร์เทรดในเม็กซิโก

ภูมิหลังการค้าโดยชอบธรรมในเม็กซิโก

การค้าโดยชอบธรรม หรือ แฟร์เทรดในเม็กซิโก มีต้นกำเนิดมาจากการค้ากาแฟซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจเพื่อการส่งออกสำคัญของเม็กซิโกมาเป็นเวลาร่วม 100 ปี การส่งออกกาแฟของเม็กซิโกมีภาวะที่รุ่งเรืองในช่วงปี คศ. 1970-80 ซึ่งได้มีผลส่งเสริมให้ชาวไร่ชาวนาเพิ่มขยายการผลิตเป็นจำนวนมาก จากน้อยกว่าแสนไร่เป็นสามแสนไร่ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ผู้ผลิตกาแฟในเม็กซิโกโดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองผู้มีรายได้น้อย โดยมักจะมีพื้นที่การเพาะปลูกน้อยกว่า 5 เอเกอร์ต่อราย ภาวะราคากาแฟตกต่ำในช่วงปี คศ. 1990-2000 จึ่งได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้เพาะปลูกกาแฟเหล่านี้อย่างร้ายแรง

เมื่อปี คศ. 1988 องค์กรเอกชนประเทศเนเธอร์แลด์ Max Havelaar Foundation ได้เป็นผู้ริ่เริ่มการเจาะไปซื้อกาแฟจากผู้ผลิตโดยตรง โดยตัดขั้นตอนของนายหน้าและผู้นำเข้าต่าง ๆ และได้สร้างตรายี่ห้อที่ประกาศคุณสมบัติของการให้ความช่วยเหลือโดยตรงการผุ้ผลิตกาแฟที่ยากจน ประเทศเม็กซิโกจึ่งเป็นประเทศที่ได้พัฒนาการค้าสินค้าโดยชอบธรรมที่เก่าแก่ที่สุดประเทศหนึ่ง

การออกใบรับรองสินค้าโดยชอบธรรมในเม็กซิโก

มาตรฐานสินค้าโดยชอบธรรม เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นและอนุมัติการใช้ตรา ที่เป็นที่ยอมรับในระดับระหว่างประเทศโดยผุ้ทำการรับรองได้แก่ องค์กร Flo-cert ของประเทศเยอร์มัน ผู้ผลติรายย่อย ๆ จะต้องขอการใช้ตรารับรองดังกล่าวโดยการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตไปขอการรับรองจากประเทศเยอรมันเท่านั้น (ตัวอย่างตรารับรองระดับระหว่างประเทศแสดงข้างล่างด้านซ้าย) ในกรณีของเม็กซิโก ได้มีการวมตัวกันขององค์กรเอกชนทีสนับสนุนการค้าโดยชอบธรรมและการผลิตไร้สารพิษภายในประเทศเพื่อพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานขึ้นมาเอง โดยใช้ชื่อว่า Comerico Justo (ตัวอย่างตรารับรองที่ออกโดยเม็กซิโกที่ใช้ภายในประเทศ-ด้านขวา)


การส่งเสริมการใช้ตรายี่ห้อของตัวเองภายในประเทศ เป็นการส่งเสริมพัฒนาตลาดสินค้าโดยชอบธรรมภายในประเทศ ผู้บริโภคภายในจึงมีความเข้าใจและความพร้อมใจที่จะสนับสนุนการซื้อสินค้าเหล่านี้มากขึ้น ในปัจจุบัน มีการรณรงค์การขายสินค้าประเภทอื่นนอกจากกาแฟ ดังที่ได้แสดงรายการสินค้าในหน้าเวปขององค์กร Comercio Justo (http://www.comerciojusto.com.mx/) ที่มีการกำหนดมาตรฐานสินค้า รวมทั้งการกำหยดรายการสารต้องห้ามที่สินค้าปลอดสารพิษที่ใช้ตรา Comercio Justo ไม่ควรมี พร้อมทั้งการกำหนดราคาที่ควรประกาศขายสำหรับสินค้าเหล่านี้ อันได้แก่ สินค้าน้ำผึ้งเครื่องเทศ Allspice (Pimenta dioica) Maracuya- passion fruit (มีการขายในหลายรูปแบบ เช่น ผลไม้สด เนื้อที่แกะแล้ว-pulp น้ำผลไม้พร้อมดื่มหรือแบบเข้มข้น ไอศครีม และแยม-marmalade) มะม่วง มะนาว กระเจี๊ยบ งา และใบตะบองเพชร เป็นต้น

เวปไซท์ Comercio Justo มีการแจ้งรายชื่อผู้ผลิตและร้านค้าที่ขายสินค้าที่ได้รับการรับรองตรา Comercio Justo ซึ่งมีแพร่หลายใน 13 รัฐของ 31 รัฐทั้งหมดของเม็กซิโก ได้แก่ รัฐ Baja California, Chiapas, Mexico DF, Guanajuato, Jalisco, Est. de Mexico, Morelos, Nuevo Leon, Oaxaca, Queretaro, Quitana Roo, Yucantan และ Zacatecas เมื่อพิจารณารายชื่อร้านทั้งหมดแล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้จะร้านค้าที่แพร่กระจายไปหลายจังหวัด แต่ร้านค้าเหล่านี้ ดูจะมีลักษณะเป็นร้านค้าย่อย ๆ การค้าสินค้าแฟร์เทรดไม่ได้มีการขายแบบขายส่งในตลาดสำคัญ ๆ โดยทั่วไป ผู้ที่ทำการค้ามักจะมีความสัมพันธ์พิเศษ และทำการซื้อขายโดยตรงจากผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ผลิตรายย่อยเช่นกัน การค้าสินค้าโดยชอบธรรมจึงเป็นตลาดที่มีข้อจำกัดหลายประการ ถึงแม้ว่าจะได้มีการรณรงค์ในระดับชาติโดยกว้างขวาง

องค์กร Comercio Justo ได้แจกแจงองค์กรที่สนับสนุนการค้าสินค้าแฟร์เทรดในเม็กซิโก ว่ามีองค์กรเอกชน 9 องค์กรสำหรับการส่งเสริมการขายกาแฟโดยชอบธรรมในรัฐ Chiapas, Oaxaca และ Puebla สำหรับการขายน้ำผึ้ง มีองค์ส่งเสริม 2 องค์กรจาก Chiapas และ Oaxaca สำหรับงา มีหนึ่งองค์กรที่มีการขายทั้งเมล็ดงา และน้ำมันงา สำหรับมะนาว มีองค์กรสนับสนุน 1 องค์กรในรัฐ Campeche สำหรับมะม่วง มีองค์กรหนึ่งองค์กรใน Campeche สำหรับผลไม้ passion fruit มีหนึ่งองค์กรในรัฐ Oaxaca

สำหรับสินค้ากาแฟโดยชอบธรรมที่ได้รับการสนับสนุนเป็นยี่ห้อโดยเฉพาะในเม็กซิโก มียี่ห้อที่ได้รับการส่งเสริมได้ แก่ ยี่ห้อ Isman, Fertil, Café Directo, Cesmach, Majomut, La Organizacion, Tosepan, Toyol Witz และ Uciri. เป็นที่น่าสังเกตว่า ยี่ห้อเหล่านี้เป็นยี่ห้อที่ไม่ค่อยได้เห็นการขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่เป็นรู้กันว่าร้านซุปเปอร์เช่น Walmart เองก็สนับสนุนการขายสินค้าแฟร์เทรด แต่คาดว่าจะมีการบรรจุและใช้ตรายี่ห้อแยกแตกออกไป

องค์กร Comercio Justo ได้ประกาศกำหนดราคาขายสำหรับกาแฟแฟร์เทรดไว้ 5 ระดับ ราคาขั้นต่ำที่กำหนดให้ขายสำหรับกาแฟอาราบิกา ได้แก่ 121 เหรียญต่อ quintales (1 กระสอบ ๆ ละ 46 กิโลกรัม) สำหรับกาแฟปกติ 105 เหรียญฯ ต่อคินทัล และสำหรับบดทีใช้กับเครื่องทำกาแฟสำเร็จรูป กำหนดราคาไว้ที่ 85 เหรียญฯ ต่อคินทัล ราคารดังกล่าวเป็นราคาขึ้นต่ำ ที่มีบวกพรีเมี่ยมสำหรับการรับรองที่ต้องจ่าย 2 ระดับ คือระดับ CJ ปกติ (ประมาณ 10 เหรียญฯ) และระดับ CJ ปลอดสารพิษ (ประมาณ 10-20 เหรียญฯ)

ตลาดของสินค้าแฟร์เทรด และองค์กรที่ส่งเสริมการค้าโดยชอบธรรม

กาแฟที่ขายภายใต้ตราแฟร์เทรดในโลกส่วนใหญ่มาจากประเทศเม็กซิโกและประเทศละตินอเมริกาอื่น ๆ ไม่มีการบันทึกสถิติแบ่งแยกรายว่าปริมาณใดเป็นส่วนที่ขายภายใต้โครงการแฟร์เทรด แต่ได้มีการคาดการณ์ว่า เม็กซิโกมีสัดส่วนการครองตลาดสำหรับกาแฟแฟร์เทรดประมาณร้อยละ 23 โดยร้อยละ 50 ของผลิตมาจากเม็กซิโกและกลุ่มประเทศละตินอเมริกา

ในปี 2552 เม็กซิโกส่งออกกาแฟ (รหัส HS 0901) โดยรวมมูลค่า 378.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 131,574 ตัน กว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนส่งออกทั้งหมดส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นสำคัญ มูลค่า 243.3 ล้านเหรียญฯ รองลงมาได้แก่ การส่งออกไปยังประเทศเยอรมัน 32.2 ล้านเหรียญฯ เบลเยี่ยม 29.6 ล้านเหรียญ แคนาดา 13.5 ล้านเหรียญ และญีปุ่น 8.4 ล้านเหรียญฯ เป็นต้น

ตลาดผู้นำเข้าสำคัญสำหรับสินค้าแฟร์เทรด และสินค้าปลอดสารพิษ ได้แก่ ประเทศสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น สหรัฐฯ นำเข้ากาแฟปลอดสารพิษในสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของโลก ประเทศแคนาดา เป็นประเทศที่เริ่มมีแนวโน้มการบริโภคสินค้าแฟร์เทรดที่มีการขยายตัวในอัตราที่สูง ได้ขยายจากการนำเข้ากาแฟแฟร์เทรดปริมาณ 425,000 กิโลในปี 2002 เพิ่มเป็น 5 ล้านกิโลในปี 2008

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการค้าสินค้าโดยชอบธรรมจะพัฒนาเป็นที่นิยมในตลาดสำคัญ ๆ เหล่านี้แล้ว สัดส่วนของการขายกาแฟโดยชอบธรรมเป็นเพียงร้อยละ 1 ของตลาดการขายกาแฟโดยทั่วไปของโลก ในปี 2009 ยอดขายกาแฟแฟร์เทรดมีมูลค่า 1.75 พ้นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดการขายกาแฟโลกมีมูลค่าประมาณ 70 พันล้านเหรียญฯ และประเทศผู้ผลิตได้รับรายได้จากการค้ากาแฟเพียง 5 พันล้านเหรียญฯ ผู้ขายกาแฟที่สำคัญได้แก่ บริษัท Nestlé และ Kraft ซึ่งเป็นขายกาแฟสำเร็จรูป

มหาวิทยาลัย Washington ได้รายงานผู้ที่เกี่ยวข้องกับการค้ากาแฟแฟร์เทรดในสหรัฐฯ ดังต่อไปนี้

(http://faculty.washington.edu/ awson/pages/fairtradecafe.htm)

องค์การเอกชนที่สนับสนุน: Fair Trade Federation, Fair Trade Resource Network, Fair Trade Net, The Fairtrade Foundation, FLO, International Federation of Alternative Trade, Global Exchange, Max Havelaar Foundation, Tradecraft

ผู้ที่ประสานงานการขายกาแฟแฟร์เทรด: Café Campesino, Cafedirect, Coordinadora Estatal de Productores de Café de Oaxaca CEPCO, Coffee Contact, Equal Exchange, Équiterre, Fair Trade Organisatie, Global Exchange's Fair Trade Coffee Campaign, Oxfam America's Coffee Campaign, Thanksgiving Coffee Co, TransFair USA, US/Labor Education in the Americas Project

ผู้นำเข้ากาแฟแฟร์เทรดที่สำคัญในสหรัฐฯ: Royal Coffee Green Coffee Importers, Cooperative Coffees, Organic Products Trading Company, Organic Products Trading Company, InterAmerican Commodities, Sustainable Harvest Coffee

แหล่งข้อมูล:
http://www.comerciojusto.com.mx/
http://www.fairtrade.com.mx/
http://www.greennet.or.th/e0000.htm
http://en.wikipedia.org/wiki/Fair_trade
http://www.flo-cert.net/flo-cert/main.php?lg=en