Google Website Translator

Friday, October 15, 2010

Autoindustry Mexico Review 2010

อุตสาหกรรมรถยนต์ของเม็กซิโก

ประเทศเม็กซิโกเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 9 ของโลก และมีความสามารถผลิตได้ประมาณ 2 ล้านหน่วยต่อปี โดยได้มีการคาดคะเนว่าเม็กซิโกจะมีความสามารถเพิ่มการผลิตและจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 5 ของโลกได้ภายในปี 2554-55 เที่ยบระดับการแข่งขันได้เท่าเทียมกับผู้ผลิตสำคัญ ๆ ของโลก เช่น สหรัฐฯ จีน อินเดีย และโสลวาเกีย อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจเม็กซิโก โดยมีส่วนแบ่งเป็นสัดส่วนร้อยละ 19 ของการส่งออก และมีสัดส่วนในผลผลิตรวมแห่งชาติร้อยละ 24 รวมทั้งมีการจ้างแรงงานทางตรงและทางออ้มทั้งหมดประมาณ 1.9 ล้านคน

อุตสาหกรรมรถยนต์ของเม็กซิโกได้เติบโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากได้รับการกระตุ้นจาก ความตกลงเขตการค้าเสรีนาฟต้า อันเป็นผลให้เม็กซิโกได้รับการลงทุงใหม่จากต่างประเทศระหว่างปี 2537 และ 2544 เป็นหลายหมื่นล้านเหรียญฯ เป็นการลงทุนระยะยาวในการสร้างโรงงานและการลงทุนซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ อันเป็นผลให้โรงงานในเขตภาคเหนือและภายกลางของเม็กซโก เป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่ทันสมัยที่สุดในระดับอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก และได้มีการเกิดกลุ่มการผลิตเฉพาะ (specialized cluster) ในพื้นที่รอบข้างโรงงานผลิตรถยนต์รายใหญ่ ๆ การมี supply chain ที่เข้มแข็ง และการขยายธรุกิจรองรับในแนวนอน (vertical integration)

โรงงานผู้ประกอบรถยนต์รายใหญ่ ๆ ในเม็กซิโกมี 7 ราย อาทิ General Motors, Daimler-Chrysler, Volkswagen, Nissan, Ford, Honda, และ Seat กระจายไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศเม็กซิโก นอกจากนี้แล้ว มีโรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อีกจำนวนราว 1,000 ราย โดยในจำนวนนี้ ร้อยละ 70 เป็นบริษัทผู้ผลิตของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งโรงงานในเม็กซิโก โดยชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเม็กซิโกมีการส่งออกไปยังผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก 32 ประเทศ

ภาวะวิกฤตการณ์การเงินในสหรัฐฯ ในปี 2552 ได้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดต่อภาคผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของเม็กซิโก โดยได้มีการไล่คนงานออกจากภาคการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จำนวน 18,000 ในระยะเวลา 14 เดือน ในช่วงระหว่างปี 2549-2551 เม็กซิโกเคยผลิตรถยนต์ได้ราว 2 ล้านคัน แต่วิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี 2552 ได้มีผลให้การผลิตลดลงเหลือเพียง 1.5 ล้านคัน และได้มีการคาดว่าการผลิตจะเพิ่มขึ้นได้ 1.7 ล้านคันในปี 2553 แต่จะไม่สามารถเพิ่มการผลิตถึงระดับ 2 ล้านคันต่อปีจนกว่าจะถึงปี 2554 หากภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงรักษาระดับการขยายตัวที่ดี

ยอดขายรถยนต์ใหม่ภายในประเทศของเม็กซิโกได้มีปริมาณสูงสุดในปี 2548 ประมาณ 1.1 ล้านคัน วิกฤตการณ์การเงินจากสหรัฐฯ ได้สร้างผลกระทบต่อตลาดการขายรถยนต์ในเม็กซิโก ทำให้ยอดขายในปี 2552 ตกลงเหลือเพียง 750,000 คันในปีนั้น และได้มีการประเมินว่ายอดการขายรถยนต์ในตลาดเม็กซิโกจะไม่กลับไปสู่ยอด 1 ล้านคันต่อปีในระยะ 5 ปีข้างหน้า

ตลาดชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถนยต์มีสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ของเม็กซิโก และยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสการขยายตัวสูง ปัจจุบันการผลิตชิ้นส่วนฯ มีมูลค่าการผลิตประมาณ 20 พันล้านเหรียญ มี ผู้ supply ชิ้นส่วนรถยนต์ ประมาณ 1,000 บริษัท สองส่วนสามเป็นบริษัทต่างชาติ อีกหนึ่งส่วนสามเป็นบริษัทเม็กซิกัน ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยอาจจะมีโอกาสการเจาะเข้าตลาดซัพพลายด้าน OEM และส่วนประกอบ และสำหรับการบริการหลังการขาย โดยมีโอกาสสำหรับมีสินค้าที่มีความต้องการสูงได้แก่ ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมส่วนเสียหาที่เกิดจากการชนปะทะ ส่วนประกอบของรถยนต์ดัดแปลง ระบบป้องกันการสั่นสะเทือน ชิ้นส่วน stamping อุปกรณ์อิเลคตรอนนิกส์ เครื่องมือและอุปกรณ์เฉพาะด้าน อุปกรณ์ที่ช่วยลดสารเป็นพิษในระบบท่อไอเสีย พวงมาลัย ระบบเสียง ระบบนำทาง GPS ส่วนประกอบอื่น ๆ และเครื่องประดับรถยนต์ เป็นต้น

ปัจจุบันช่องทางการขายสินค้าชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ของเม็กซิโกจะขายผ่านผู้กระจายสินค้าที่มีอยู่ราว 300 ราย โดยในจำนวนนี้ 30 รายนับเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ อาทิ Auto Zone, California และ Rogelio สำหรับในระดับค้าปลีกมีผู้ประกอบการอยู่ราว 39,410 รายมีกำลังแรงงานในธุรกิจค้าปลีกนี้ราว 167,809 คน และในส่วนของอู่ซ่อมรถยนต์มีอยู่ราว 146,720 แห่ง มีกำลังแรงงานในธุรกิจนี้ราว 322,784 คน

เม็กซิโกมีการนำเข้าสินค้ารถยนต์จากประเทศไทยสามประเภท ได้แก่ รถบรรทุก ชิ้นส่วนรถยนต์ และยางรถยนต์ โดยในปี 2552 ได้มีการนำเข้ารถบรรทุกมูลค่า 16.5 ล้านเหรียญฯ คาดว่าเป็นการนำเข้าโดยบริษัท Hino ซึ่งได้มาเปิดโรงงานประกอบรถบรรทุกที่รัฐ Guanajuato เมื่อประมาณสองปีที่ผ่านมา การนำเข้าชิ้นส่วนในปี 2552 มีมูลค่า 13.87 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และการนำเข้ายางรถยนต์ในปีเดียวกันมีมูลค่า 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้แล้ว ในระยะสามปีที่ผ่านมา ได้มีการนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์จากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยในปี 2550 2551 และ 2552 ได้มีการนำเข้ามูลค่า 0.611 2.964 และ 1.552 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ

Monday, October 11, 2010

War on drugs affects Mexico's tourism

ผลกระทบของสงครามปราบปรามยาเสพติดต่อภาวะการท่องเที่ยวในเม็กซิโก

รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศการเตือนภัยเกี่ยวการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก เมื่อต้นปี 2553 เมื่อเจ้าหน้ากงศลของสหรัฐฯ ถูกสังหาร 3 คน ในระหว่างการเดินทางในเมืองชายแดน Tijuana โดยได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดการเตือนภัยฯ ทุก 90 วัน จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งเมื่อครบ 180 วันแล้ว จะต้องมีการพิจารณาถอนคำเตือนฯ จึงได้มีประกาศเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังเม็กซิโก (Travel Warning) ลงวันที่ 10 กันยายน 2553 ในหน้าเวปของกรมกงศุล กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยกเลิกการงดประจำการของเจ้าหน้าที่กงศุลสหรัฐฯ ในเมือง Tijuana, Nogales, Ciudad Juarez, Nuevo Laredo, Monterrey และ Matamoros แต่ยังคงรักษาการเตือนเพื่อตักเตือนห้ามการเดินทางสำหรับเด็กหรือเยาชนสัญชาติอเมริกันในรัฐ Monterrey เนื่องจากได้มีระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียนอเมริกันในเมืองนั้น เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม

การเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางสำหรับประเทศเม็กซิโกดังกล่าวข้างต้น ได้มีการกระจายข่าวไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย และบริษัทที่จัดทัวร์และขายตั๋วเครื่องบินในสหรัฐฯทั้งหลาย และได้มีผลให้มีนักท่องเที่ยวอเมริกันหลายคนพิจารณางดการเดินทาง หรือเปลี่ยนแผนการเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอื่น ๆ แทน

เหตุของการเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังเม็กซิโก มาจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากสงครามปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นนโยบายสำคัญของประธานาธิบดีเม็กซิโก ที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2549 โดยมีการส่งกองกำลังของทหารไปเสริมการทำงานของตำรวจในท้องที่ ๆ เป็นพื้นที่ ๆ กลุ่มพ่อค้ายาเสพติดควบคุมอยู่ อันได้แก่ รัฐ Michoacán และรัฐ Tamaulipas รวมทั้งรัฐข้างเคียง อันได้แก่ รัฐ Chihuahua, Sinaloa, Durango และ Coahuila และตามจุดผ่านชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก

การไล่จับตัวเจ้าพ่อกลุ่มค้ายาเสพติดที่สำคัญๆ ทำให้เกิดการยิงสู้รบกับกลางถนน ระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้าย รวมทั้งระหว่างกลุ่มคนร้ายด้วยกันเอง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคเหนือของเม็กซิโก เช่น ที่เมือง Ciudad Juarez, Tijuana, Chihuahua City, Nogales, Nuevo Laredo, Piedras Negras, Reynosa, Matamoros และ Monterrey ในช่วงหลังๆ การยิงสู้รบกันกลางถนนได้ขยายไปในเขตที่ไม่ได้เป็นถิ่นเดิมของกลุ่มค้ายาเสพติด เช่น ที่รัฐ Nayarit, Jalisco และ Colima

รัฐบาลเม็กซิโกได้ประสบผลสำเร็จ จับตัวหัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติดสำคัญๆ ได้หลายรายแล้ว เช่น The Barbie และ El Chopo จากกลุ่ม Sinaloa Cartel และ El Teo พ่อค้ากัญชาและยาบ้าตัวฉกันจากเมือง Tijuana

กลุ่มค้ายาเสพติดของเม็กซิโกได้ขยายอำนาจควบคุมเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปี คศ. 1990 เมื่อกลุ่มค้ายาเสพติดของโคลัมเบียมีอำนาจลดลง จากการร่วมปราปรามโดยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีกลุ่มลักลอบค้ายาเสพติดในเม็กซิโก ที่ควบคุมเส้นทางการลักลอบขนถ่ายข้ามแดน รวมทั้งควบคุมตลาดการขายยาเสพติดในสหรัฐฯ มีสองฝ่ายใหญ่ ๆ คือฝ่าย Juárez Cartel, Tijuana Cartel, Los Zetas และ Beltrán-Leyva Cartel และฝ่ายตรงกันข้ามมีการวมตัวกันของกลุ่ม Gulf Cartel, Sinaloa Cartel และ La Familia Cartel

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประเมินมูลค่าของการค้าโคเคนที่ถูกลักลอบเข้าสหรัฐฯ โดยผ่านเม็กซิโก ว่ามีมูลค่าระหว่าง 1.3 ถึง 4.8 หมื่นล้านเหรียญฯ ต่อปี

ความรุนแรงที่สืบเนื่องมาจากการปราบปรามยาเสพติดที่นับวันจะทวีขึ้น เกิดจากการไล่ฆ่าล้างแค้นหัวหน้าเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ระหว่างกลุ่มค้ายาเสพติดกันเอง ได้มีนายกเทศมนตรี ผู้บัญชาการทหาร และหัวหน้าตำรวจสืบสวน ถูกลอบสังหารไปแล้วหลายคน ในการสู้รบที่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากสงครามปราบปรามยาเสพติด ได้มีประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นกัน รายงานข่าวของตำรวจเม็กซิโก ได้แจ้งว่า ผู้ที่เสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด (ทั้งเจ้าหน้าที่ คนร้ายและประชาชน) ตั้งแต่ปี 2549 มีจำนวนประมาณ 22,700 คน และในเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2553 ได้มีการค้นพบกองศพการสังหารหมู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่มีศพกองอยู่รวม 76 ศพ



โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ให้ข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ห้ามการเดินทางไปยังเม็กซิโก แต่ต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนชาวอเมริกันมีความระมัดระวังในการเดินทางไปยังรัฐบางแห่ลในเม็กซิโก รวมทั้งในบริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในพื้นที่ อื่น ๆ ในเม็กซิโกจะมีสภาวะปกติที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มักจะไม่เป็นพื้นที่เป้าหมายของความรุนแรง ยกเว้น เมือง Cancún ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของการลักลอบขนยาเสพ และได้มีการสังหารนายทหารที่ควบคุมการกวาดล้างในพื้นที่ไปผู้หนึ่ง และในเขตเมือง Cancún กลุ่มค้ายาเสพติดอาจจะมีการแอบอ้างตัวเป็นตำรวจ หรือการเจาะเข้าไปทำงานในกองตำรวจของพื้นที่

องค์การท่องเที่ยวโลก (UNTWO) ได้จัดอันดับประเทศเม็กซิโก เป็นประเทศที่รับนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลกในปี 2552 โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโกในปีนั้นจำนวน 21.5 ล้านคน การท่องเที่ยวของเม็กซิโกเป็นแหล่งรายได้อันดับสามของประเทศ รองจากน้ำมันและเงินส่งกลับจากต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับเม็กซิโกประมาณ 1.3 หมื่นล้านเหรียญต่อปี นอกจากนี้แล้วมีการการเดินทางไปกลับข้ามชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกวันละหลายหมื่นคน และมีชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกประมาณ 1 ล้านคน

กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกได้รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังเม็กซิโกรวม 7.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.2 ของช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีนักท่องเที่ยว 4.3 ล้านคนที่เดินทางมากจากสหรัฐฯ อีก 1.3 ล้านคนเดินทางมาจากแคนาดา และ 200,513 คนจากประเทศสเปน

แหล่งข่าว:
http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/tw/tw_4755.html
http://www.bajainsider.com/baja-california-travel/mexico-travel-warning.htm
http://online.wsj.com/article/NA_WSJ_PUB:SB123931839488506787.html
http://travel.usatoday.com/destinations/dispatches/post/2010/08/cancun-bar-mexico-travel-safety/110694/1?csp=hf
http://worldblog.msnbc.msn.com/_news/2010/09/08/5069426-mexican-blog-sheds-grim-light-on-drug-war
http://www.dallasnews.com/sharedcontent/dws/news/world/stories/DN-mexicotourism_11bus.ART.State.Edition1.47662b3.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Mexican_Drug_War
http://en.wikipedia.org/wiki/World_Tourism_rankings

Friday, October 1, 2010

Nicaragua seeking investment in hotels from Spain

นิคารากัวส่งเสริมการลงทุนในกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยว

ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจนิคารากัว

ประเทศนิคารากัวมีผลผลิตแห่งชาติในปี 2551 มูลค่า 17.37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีประชากรเกือบ 6 ล้านคน เมืองหลวงซึ่งได้แก่ เมืองมานากัว เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรประมาณ 2 ล้านคน

นิคารากัวเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดอันดับสองของภูมิภาคละตินอเมริกา (รองจากไฮติ) รายได้ต่อหัวเฉลี่ยเท่ากับ 2,627 เหรียญต่อปี ค่าจ้างขั้นต่ำประมาณ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน จำนวนแรงงานประมาณ 2.32 ล้านคน ซึ่งทำงานในภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ และรองลงมาได้แก่การทำงานในภาคเกษตรกรรม ที่มีความสำคัญมากเนื่องจากร้อยละ 60 ของสินค้าส่งออกเป็นสินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกประมาณ 300 ล้านเหรีญสหรัฐฯ ต่อปี และสินค้าเกษตรส่งออกส่วนใหญ่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจขึ้นพื้นฐาน เช่น กล้วย กาแฟ น้ำตาล เนื้อและยาสูบ สินค้าส่งออกที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ได้แก่ เหล้า rum ตรา Flor de Caña

สัดส่วนของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ในผลผลิตประชาชาติ ได้แก่ ร้อยละ 56.9 มาจากภาคบริการ ร้อยละ 26.1 จากภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 17 จากภาคเกษตร และร้อยละ 15 จากเงินโอนกลับจากต่างประเทศ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญฯ 

ภาคอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเบา เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ และมักเป็นการผลิตภายใต้การส่งเสริมเพื่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรป

โครงสร้างพื้นฐานของนิคารากัวยังขาดการพัฒนาอีกมาก เครือข่ายการเดินรถไฟและถนนทางหลวงมีบริการแค่ในภาคฝั่งแปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและประชากรจะอาศัยอยู่ ไม่มีถนนทางหลวงหลักที่เชื่อมชายฝั่งแปซิฟิกกับชายฝั่งแคริเบี่ยน และจะต้องทำการเดินทางในส่วนที่เหลือโดยทางเรือร่องแม่น้ำ Río Escondido จากเมืองรามา มีท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวที่เมือง Corinto ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีโครงการความช่วยเหลือที่อาจพิจารณาการสร้างช่องเดินเรือตัดผ่านสองฝั่งหมาสมุทรเพื่อเป็นทางเดินเรือสำรองรองจากช่องเดินเรือปานามา

การส่งออกนิคารากัว (มูลค่า: ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
          แหล่งข้อมูล: World Trade Atlas

รัฐมนตรีการท่องเที่ยวนิคารากัวเยือนประเทศสเปนเพื่อกระตุ้นการลงทุนด้านโรงแรม

รัฐมนตรีการท่องเที่ยว นาย Mario Salinas ได้เดินทางไปเยือนประเทศสเปน เพื่อการชักจูงการลงทุนจากกลุ่มธุรกิจด้านโรงแรมของสเปน ร่วมทั้งเพื่อการดูงานเกี่ยวกับระบบการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศสเปน ในรูปแบบรัฐวิสาหกิจที่มีชื่อว่า Paradores  ที่บริหารโรงแรมในเครือรวม 80 แห่ง ประมาณ 10,000 ห้อง รวมทั้งมีสถาบันการฝึกอบรมบุคลลาการเพื่อการท่องเที่ยว โดยนาย Salinas มีความสนใจที่จะนำระบบดังกล่าวมาพัฒนาใช้ประเทศนิคารกัว

นาย Salinas ได้กล่าวว่า โอกาสการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของนิคารากัว ยังต้องการการลงทุนอีกมาก เนื่องจากในปัจจุบันมีห้องพักเพียง 7,800 ห้อง ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คอสตาริกา มีถึง 38,000 ห้อง กลุ่มโรงแรมของประเทศสเปนที่ได้ทำการลงทุนในประเทศนิคารากัวแล้ว ได้แก่ กลุ่ม Barceló Managua, Hoteles Globales ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว และกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับกลุ่ม Sol Meliá อีกกลุ่มหนึ่ง หากนักลงทุนต่างชาติมีความสนใจที่จะลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมในนิคารากัว จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการก่อตั้งกิจการรวมทั้งการได้รับสิทธิพิเศษด้าภาษีต่าง ๆ โดยผ่านหน่วยงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของนิคารากัว Pronicaragua

แผนงานการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศนิคารากัว

การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของประเทศนิคารากัว ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของนิคารากัวได้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 10-16 ต่อปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศละตินอเมริกาอื่น ๆ และยุโรป แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมที่สุดได้แก่ เมือง Granada ส่วนแหล่งที่เป็นที่นิยมอื่น ๆ ได้แก่ เมือง León, Masaya, Rivas และเมือง San Juan del Sur ส่วนแหล่งท่องเที่ยวด้านธรรมชาติได้แก่ แม่น้ำ San Juan River เกาะ Ometepe ซึ่งอยู่ในทะเลสาป Cocibolca ภูเขาไฟ Mombacho หมู่เกาะ Corn Islands หาดทราย และเส้นทางที่มีทิวทัศน์สวยงาม

ร้อยละ 60 ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศนิคารากัวมาจากกลุ่มประเทศอเมริกากลาง ร้อยละ 30 จากสหรัฐฯ และร้อยละ 10 จากยุโรป ปัจจุบันมีชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในนิคารากัวประมาณ 5,300 คน 

หน่วยงานส่งเสริมการค้านิคารากัว Pronicaragua และ Intur กำลังรณรงค์การชักจูงนักท่องเที่ยววัยเกษียนของสหรัฐฯ และได้จัดงานแสดงการท่องเที่ยว "Nicaragua: A Paradise Within your Grasp" ซึ่งมีผู้เข้าร่วมชมงานรวม 24.000 คน ได้มีการเสนอโครงการทั้งหมด 24 โครงการ ซึ่งรวมการแสดงโครงการพิเศษของ Montecristo, Gran Pacífica, Guacalito de la Isla, Rancho Santana, La Talanguera, El Encanto del Sur, Parque Marítimo El Coco, Barceló Montelimar, Hacienda Iguana, Colinas de San Juan, Laguna Sol, Remax de Nicaragua, Desarrollos Sooner และ Hotel Seminole

นอกจากนี้แล้ว หน่วยงาน ProNicaragua สามารถชักจูงให้รายการโทรทัศน์ reality show "Survivor" ทำการถ่ายทำ "Survivor Nicaragua" ในประเทศนิคารากัว ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ชมถึง 13 ล้านคนในสหรัฐฯ เป็นการโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับนิคารากัว ซึ่งมีงบประมาณการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพียงปีละ 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 


แหล่งข้อมูล:
http://www.centralamericadata.com/en/article/home/Nicaragua_Promotes_Itself_in_Europe
http://www.centralamericadata.com/en/article/home/What_Can_Survivor_TV_Do_for_Nicaraguan_Tourism
http://www.centralamericadata.com/en/article/home/Nicaragua_10Years_Tax_Breaks_for_Hotels
http://www.hosteltur.com/noticias/69086_nicaragua-busca-inversion-hoteleras-espanolas-planea-importar-modelo-paradores.html
http://www.elnuevodiario.com.ni/economia/40019
http://www.centralamericadata.com/en/article/home/Nicaragua_Promoted_as_Retirement_Destination
http://www.pronicaragua.org/
http://en.wikipedia.org/wiki/Nicaragua