Google Website Translator

Wednesday, December 22, 2010

IDB long term funding for Mexico's Alternative Energy sector

เงินกู้ระยะยาวเป็นหัวใจของการพัฒนาพลังงานทดแทนในเม็กซิโก

ภาคพลังงานทดแทนในเม็กซิโกได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในสองสามปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยส่งเสริมสำคัญคือ มาตราการส่งเสริมระยะยาว เงินกู้ระยะยาวจากองค์กรหรือธนาคารเพื่อการพัฒนา รวมทั้งการออกพันธบัตรรัฐบาลรูปแบบต่างๆ

การเริ่มต้นโครงการพลังงานทดแทนไม่ว่าจะเป็นพลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานกังหันลม หรือการผลิตเชื้อเพลิงจากอินทรีย์สาร ล้วนเป็นโครงการที่ต้องการเงินลงทุนในระยะแรกสูง เพื่อการก่อสร้างโรงงานใหม่ การซื้ออุปกรณ์ที่ก้าวหน้า รวมทั้งเพื่อการพัฒนาโครงสร้างรองรับ ไม่เหมือนกับการเริ่มต้นโครงการพลังงานที่ใช้น้ำมันและแก๊ซเป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีสาธารณูปโภครองรับมากมายโดยทั่วไป

ในปี คศ 2008ที่ผ่านมา  รัฐ Oaxacaได้รับเงินช่วยเหลือจากธนาคาร IDB มูลค่า 102 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในโครงการสร้างโรงงานผลิตพลังงานกังหันลม ที่จะมีความสามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณ 318 MW และจะมีผลช่วยให้ประเทศเม็กซิโกบรรลุเป้าหมายการลดมลภาวะ ได้ถึงร้อยละ 50  จากระดับปี คศ. 2000 ภายในปี คศ. 2050

โครงการดังกล่าวจะเป็นโครงการการผลิตพลังงานจากกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคละตินอเมริกา เป็นการลงทุนโดยบริษัท Acciona Energía México (AEM) ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของบริษัท Acciona ของสเปน ร่วมกับบริษัทปูนซีเมนต์แห่งเม็กซิโก (CEMEX) ซึ่งจะมีสิทธิซื้อพลังงานที่ต้องการทั้งหมดจากโครงการดังกล่าวในระยะเวลา 20 ปีเมื่อการก่อสร้างได้เสร็จสิ้น

เม็กซิโกได้ริเริ่มแผนงานการทดแทนน้ำมัน และกระจายสัดส่วนแหล่งพลังงาน โดยการออกกฎหมายการพัฒนาแรงงาน (Special Program to Exploit Renewable Energy and Special Climate Change Program)  เมื่อเดือนพฤศจิกายน คศ. 2008 แผนงานดังกล่าวมีความสำคัญสำหรับการลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังมีผลพลอยได้ต่อเศรษฐกิจเพ่มเติม คือการจ้างงาน และสร้างรายได้ในพื้นที่ ชุมชนที่มีรายได้ต่ำ 

นอกจากเงินกู้จากธนาคาร  IDB แล้ว โครงการพลังงานลม Eurus ยังต้องระดมทุนจากแหล่งเงินกู้ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคีทั้งจากองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ต้นทุนการก่อสร้างทั้งหมดรวม 600 ล้านเหรียญ

รัฐบาลเม็กซิโกคาดว่า ปริมาณการลงทุนทั้งหมดจะมีมูลค่ารวม 5 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในระยะเวลา 4 ปี และจะทำการผลิตพลังงานได้ในสัดส่วนร้อยละ 4 ของความต้องการไฟฟ้ารวมของประเทศ จะสร้างงานได้ 10,000 ตำแหน่งทางตรงและทางอ้อมในช่วงการก่อสร้าง และจะมีตำแหน่งานถาวรรวม 374 ตำแหน่งสำหรับการดูแลรักษาต่อไป

นอกจากโครงการพลังงานกังหันลม Eurus ในรัฐ Oaxaca แล้ว ธนาคาร IDB ยังได้อนุมัติเงินกู้อีกจำนวนหนึ่งให้แก่ โครงการพัลงงานกังหันลมอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งจะได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Eléctrica del Valle de México, S. de R.L. de C.V., (EVM) บริษัทในเครือของบริษัท EDF Energies Nouvelles ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจะทำการผลิตไฟฟ้าได้ 67.5 MW โครงการ EVM มีสัญญาการขายไฟฟ้าให้กับบริษัท Wal-Mart เป็นระยะเวลา 15 ปี


แหล่งข้อมูล
http://www.iadb.org/am/2010/pages.cfm?language=en&id=6688
http://www.iadb.org/news-releases/2009-12/english/idb-to-finance-historic-expansion-of-wind-power-in-mexico--6118.html
http://www.iadb.org/en/projects/project,1303.html?id=ME-L1068

Monday, December 20, 2010

PEMEX contracts foreign companies

รูปแบบสัญญาจ้างบริษัทต่างชาติสำหรับการสำรวจขุดเจาะน้ำมันในเม็กซิโก

บริษัท PEMEX รัฐวิสาหกิจน้ำมันของเม็กซิโก ได้อนุมัติสัญญาว่าจ้างบริษัทต่างชาติในรูปแบบใหม่สำหรับการสำรวจขุดเจาะน้ำมันในเม็กซิโก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากแผนงานปฎิรูปพลังงานที่ประธานาธิบดีแคลดารอนได้ริเริ่มเมื่อสองปีที่ผ่านมา สัญญารูปแบบใหม่ดังกล่าวจะจัดสรรแบ่งผลประโยชน์ให้แก่ผู้พัฒนาในรูปแบบ on a per-barrel fee นอกเหนือจากการคืนทุน recovery cost แต่ยังคงยึดถือหลักการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของเม็กซิโก นั่นคือน้ำมันที่ผลิตได้ถือว่าเป็นทรัพย์สินของเม็กซิโกเท่านั้น การเปิดรับประมูลบริษัทต่างชาติสำหรับการพัฒนาแหล่งน้ำมันในรูปแบบใหม่ดังกล่าว จะขยายไปสู่การพัฒนาแหล่งสัมปทานบ่อมีอายุในพื้นที่อื่น ๆ และจะขยายรวมไปยังพื้นที่สัมปทานในอ่าวเม็กซิโกในระยะต่อไปด้วย

การปรับปรุงสัญญาว่าจ้างบริษัทต่างชาติในรูปแบบใหม่นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้บริษัทน้ำมันต่างชาติลงทุนเพิ่ม โดยเฉพาะในการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยก้าวหน้ามาใช้ เพื่อยกระดับผลผลิตน้ำมันในบ่อน้ำมันทางตอนใต้ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่เริ่มจะหมดสภาวะการผลิตสูง (mature oilfields) ปัจจุบันมีสัดส่วนของผลผลิตเป็นหนึ่งส่วนสามของผลผลิตน้ำมันรวมของเม็กซิโก โดยมีเป้าหมายการชักจูงสำคัญกับบริษัท ExxonMobil, Royal Dutch Shell และ BP

บ่อน้ำมันในภาคใต้ของเม็กซิโกที่เป็นบ่อมีอายุมีทั้งหมด 40 แห่งและจัดแบ่งเป็นพื้นที่สัมปทานได้ 8 บล็อค ปริมาณน้ำมันสำรองรวม 420 mm เบเรล โดยบริษัท PEMEX ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาในพื้นที่สัมปทาน 3 แห่งในขั้นแรด อันได้แก่ Magallanes, Santuario และ Carrizo ซึ่งเป็นพื้นที่ 312 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำมันสำรองเฉลี่ยประมาณ 207 mm boe ความสามารถผลผลิต่อวันประมาณ 14 ล้านเบเรลต่อวัน และได้กำหนดกระบวนการจัดประมูลสัมปทานดังต่อไปนี้

พฤจิกายน 2553  ประกาศขั้นตอนการประมูลและคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ
กุมภาพันธุ์ 2554  การประกาศการรับประมูลอย่างเป็นทางการ
กพ.-เม.ย. 2554   ขายเอกสาร package การประมูล
กพ.-มิ.ย. 2554    Workshop และการเยือนแหล่งสัมปทาน
กพ.-มิ.ย. 2554    สัมมนาเผยแพร่ข้อมูลรายละเอียดที่กรุงลอนดอน คัลการี และฮูสตัน
มิ.ย. 2554           ตรวจสอบคูณสมบัติผู้ประมูลในขั้นแรก
สัปดาห์แรกเดือนกรกฎาคม 2554  การประกาศผู้ได้รับสัมปทาน

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมการประมูลสามารถแจ้งความประสงค์ผ่านเวปไซท์ได้ที่ http://www.pep.pemex.com:8080/contratos/eng/eventos.html

แหล่งข้อมูล
http://www.zacks.com/stock/news/43915/Pemex+OKs+New+Contract+Model
http://www.pep.pemex.com:8080/contratos/eng/cmaduros.html

Monday, December 6, 2010

Mexichem mulls acquisitions in Americas and Europe

บริษัท Mexichem ขยายการผลิต PVC
ในภูมิภาคละตินอเมริกา

บริษัท Mexichem เป็นบริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก ก่อตั้งเมื่อปี 2541 จากการรวมตัวของบริษัท Química Pennwalt และบริษัท Polímeros de México โดยได้รับการลงทุนเพิ่มจากผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ บริษัท Elf Atochem จากประเทศฝรั่งเศส ร่วมกับกลุ่มนักลงทุนชาวเม็กซิกันในนามบริษัท Grupo Empresarial Privado Mexicano และในปีถัดมาได้ร่วมทุนเพิ่มกับกลุ่มอุตสาหกรรม Camesa

สินค้าเคมีภัณฑ์ที่บริษัท Mexichem ประสบความสำเร็จด้านการตลาดในตอนต้น ๆ ได้แก่ สินค้าเคมีที่ใช้ในการผลิตแก๊ซและน้ำมัน การผลิตเหล็ก และที่ใช้กับเครื่องมือผลิตภัณฑ์ด้านการสื่อสาร นอกจากนี้แล้ว ยังมีการผลิตสินค้า PVC และโซดาไฟ ซึ่งในระยะแรกมีราคาที่ไม่แข่งขันเท่าไหร่ เนื่องจากวัตถุดิบที่มีราคาสูง รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจซบเซาในตลาดภายในของเม็กซิโกและสหรัฐฯ ในช่วงปี 2543-2532 ได้ผลักดันให้บริษัทฯ หันไปให้ความสนใจในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ และได้มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยกลุ่มอุตสาหกรรม Camesa ได้ร่วมทุกับบริษัท Total ประเทศฝรั่งเศส ซื้อหุ้นทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นเดิม และได้ขยายกิจการเพิ่มเติมโดยการซื้อกิจการของบริษัท Química Flúor และบริษัท Compañía Minera Las Cuevas ซึ่งเป็นเหมืองแร่ fluorite ในรัฐ San Luis Potosi และผู้ผลิต fluorspar ที่สำคัญของโลก ทำให้บริษัท Mexichem เป็นผู้ผลิต hydrofluoric acid ที่ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาทั้งสอง ส่วนกิจการด้านการผลิต PVC ได้มีการขยายตัวโดยการการซื้อกิจการบริษัท Grupo Primex ซึ่งเป็นผู้ผลิต PVC ที่สำคัญในเม็กซิโก และการซื้อกิจการของคู่แข่งในตลาด บริษัท Plásticos Rex และผู้ผลิตเมล็ดPVC บริษัท Policyd

การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริษัท Mexichem โดยการซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องการกับผลิตสารเคมีต่าง ๆ ในประเทศเม็กซิโก รวมทั้งการซื้อกิจการในประเทศบราซิล โคลัมเบีย และอาร์เจนตินา และการขยายสินค้าไปครอบคลุมการผลิตสารเคมี fluorite และสารทำความเย็นต่างๆ ทำให้บริษัท Mexichem ลดต้นทุนการผลิตและจัดการกระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้บริษัทฯ รักษาการแข่งขันภายในตลาดที่กว้างใหญ่ได้ ทั้งนี้ ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาบริษัท Mexichem ได้ใช้ทุนในการซื้อกิจการต่าง ๆ ประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ในปี 2552 ศาลแพ่งของเม็กซิโกได้ไต่สวนคัดค้านการซื้อกิจกการด้าน PVC เพิ่มในเม็กซิโก โดยอ้างกฏหมายป้องกันการรวมตัวของกิจการในลักษณะผูกขาด แต่ในที่สุดบริษัท Mexichem ก็สามารถซื้อกิจการเพิ่มได้อีก 2 แห่งในปีนั้น โดยได้มีข้อตกลงว่าจะไม่ทำขยายการผลิตในด้านการผลิตท่อ PVC ในตลาดเม็กซิโกเพิ่มเติม บริษัทฯ จึงหันไปแสวงหาโอกาสการขยายตัวในการผลิต PVC ในประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และได้เข้าซื้อกิจการด้าน PVC ในประเทศเปรูในปี 2553 ซึ่งยกสถานะให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตสินค้า PVC และ vinyl resins ที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา ปัจจุบันบริษัทฯ มีโรงงานการผลิตสารเคมีทั้งหมด 40 กว่าแห่ง รวมทั้งโรงงานในสหรัฐฯ อังกฤษ ญี่ปุ่นและไต้หวัน

บริษัท Mexichem ได้แถลงข่าวในเดือนพฤศจิกายน 2553 ว่าได้เตรียมแผนงานการขยายตัวต่อไปในตลาดสหรัฐฯ และยุโรปในอนาคต ยอดขายของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปี 2553 มีมูลค่า 2.157 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2552

แหล่งข่าว:
http://www.mexichem.com/English/historia.html
http://www.plasticsnews.com/headlines2.html?id=20432

Grupo Bimbo acquires Sara Lee

บริษัท Bimbo ซื้อกิจการด้านการาผลิตขนมปัง Sara Lee ของสหรัฐฯ

Grupo Bimbo SAB เป็นบริษัทผู้ผลิตขนมปังสำคัญของเม็กซิโก ที่มีเครือข่ายการลงทุนด้านการผลิตขนมปังใน ภูมิภาคละตินอเมริกา จัดได้ว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่คุมตลาดการผลิตขนมปังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปี 2552 มีรายได้รวม 8.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีตรายี่ห้อขนมปังที่สำคัญอันได้แก่ Bimbo และ Lara มีโรงงานผลิตขนมปังทั่วโลก 98 แห่ง ซึ่งรวมโรงงานขนมปังในสหรัฐฯ 39 โรงงาน มีลูกจ้างรวม 102,000 คน

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2553 กลุ่ม Bimbo ประกาศข่าวว่าได้เสนอราคาซื้อกิจการด้านการผลิตขนมปังของบริษัท Sara Lee ของสหรัฐฯ ในมูลค่า 959 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมสิทธิการขายขนมปังในยี่ห้อ Sara Lee, Grandma Sycamore’s, Heiner’s และ Rainbo ในตลาดสหรัฐฯ และสามารถขายขนมปังในยี่ห้อ Sara Lee ได้ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ยกเว้นในสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กิจการการผลิตขนมปังของ Sara Lee มีโรงงานผลิตขนมปังทั้งหมด 41 โรง เส้นทางการขนส่งขนมปัง 4,800 สาย และคนงาน 13,000 คน แต่ประสบภาวะการแข่งขันจากคู่แข่งในระดับท้องถิ่นที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า ยอดขายในปีที่ผ่าน ๆ มาได้หดตัว การขายกิจการด้านการผลิตขนมปังให้แก่ Bimbo จึงจะช่วยลดภาระของบริษัท Sara Lee ให้สามารถหันไปพัฒนาการขายสินค้าอาหารด้านเนื้อวัวและกาแฟอย่างเต็มตัวแทน

กลุ่ม Bimbo ได้ซื้อกิจการผลิตขนมปังในสหรัฐฯ บริษัท George Weston เมื่อปี 2551 ในมูลค่า 2.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อรวมกับกิจการ Sara Lee แล้ว จะทำให้ตลาดการขายขนมปังในสหรัฐฯ กลายเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของกลุ่ม Bimbo แทนตลาดภายในเม็กซิโกซึ่งเป็นฐานตลาดสำคัญเดิม

กลุ่ม Bimbo มีแผนงานที่จะลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพในกิจการการผลิตขนมปังในสหรัฐฯ เป็นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลช่วยให้บริษัทลดต้นทุนการผลิตรวมได้ถึง 200 ล้านเหรียญภายในปี 2553 และมีค่า Ebitda อัตราร้อยละ 12 ในปีนั้น

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
http://www.bloomberg.com/news/2010-11-09/sara-lee-sells-north-american-fresh-bakery-to-grupo-bimbo-for-959-million.html
http://www.grupobimbo.com.mx/
http://en.wikipedia.org/wiki/Grupo_Bimbo
http://en.wikipedia.org/wiki/Sara_Lee_Corporation