ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเงินสหรัฐฯ กลุ่ม Citigroup และธนาคาร Banamex ของเม็กซิโก
ในช่วงที่ประเทศเม็กซิโกประสบวิกฤตการณ์การเงินเนื่องจากการลดค่าเงินเปโซเมื่อปี 1994 (มูลค่าเงินเปโซลดลงประมาณร้อยละ 50) รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินร่วมกับ IMF แก่เม็กซโก โดยให้เงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างการเงินจำนวนประมาณ 50 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณร้อยละ 10 ของ GDP เม็กซิโก อนึ่ง เงินกู้จำนวนนี้ ถูกใช้คืนหมดในปี 1997) โดยมีเงื่อนไขความช่วยเหลือให้มีการเปิดเสรีภาคการเงิน ให้ธนาคารต่างชาติสามารถเข้าซื้อธนาคารของเม็กซิโกที่ประสบปัญหาการเงิน อันเป็นผลให้ธนาคารต่างชาติเข้ามาครอบครองภาคการเงินของเม็กซิโกเป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่เหลือธนาคารใหญ่ที่มีสถานะเป็นเม็กซิกันเต็มอัตรา
ธนาคารสำคัญ ๆ ของเม็กซิโกที่ตกเป็นของต่างชาติได้แก่ Banamex ซึ่งถูกขายให้กับกลุ่ม Citigroup ของสหรัฐฯ ในปี 2001 ในราคา 12.5 พันล้านเหรียญฯ เป็นการรวมธุรกิจ (merger) ระหว่างบริษัทอเมริกันและเม็กซิกันที่ใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์ธุรกิจเอกชนของสองประเทศ ธนาคาร Bital ถูกซื้อไปโดย HSBC ของอังกฤษ ในปี 2002 ในราคา 1.1 พันล้านเหรียญฯ ธนาคาร Inverlat รวมตัวกับ Scotiabank ของแคนาดา และ Bancomer รวมตัวกับ BBVA ของสเปน
Banamex เป็นธนาคารอันดับสองของประเทศเม็กซิโก รองจาก Bancomer ก่อตั้งเมื่อปี 1884 โดยการรวมตัวของธนาคาร Banco Nacional Mexicano and Banco Mercantil Mexicano ได้เริ่มกิจการโดยการรับฝากเงินตามสาขาต่าง ๆ ต่อมาในปี 1926 ได้ขยายบริการการเงินโดยการจัดหาทุนให้กับธุรกิจต่าง ๆ และได้เปิดสาขาในต่างประเทศเป็นแห่งแรก ที่นครนิวยอร์ค Banamex เป็นผู้ริเริ่มบริการการเงินทันสมัยให้แก่เม็กซิโกหลายอย่าง เช่น บริการตู้ถอนเงินอัตโนมัติ และการออกบัตรเครดิต
ในปี 1982 ประธานาธบดี Portillo ได้ประกาศลดค่าเงินเปโซ (ในขณะช่วงนั้ง เม็กซิโกมีอัตราแลกเปลี่ยนตามกำหนดของธนาคารแห่งชาติ fixed exchange rate regime) และได้สั่งยึดธนาคารทุกแห่ง เป็นผลให้ Banamex ดำเนินกิจการเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมผู้ให้เครดิตแห่งชาติเป็นเวลา 9 ปี ในปี 1991 ประธานาธบิดี Zedillo ได้แปรสภาพให้ธนาคารต่าง ๆ เป็นของเอกชนอีกครั้ง และบริษัทหลักทรัพย์ Accival ซึ่งนำโดยนาย Roberto Hernández Ramírez ได้ซื้อธนาคาร Banamex เป็นกลุ่ม Grupo Finaciero Banamex-Accival
ในช่วง 4 ปี ต่อมา ธนาคารต่าง ๆ ในเม็กซิโกได้ขยายการให้บริการเงินกู้ในภาคเอกชนอย่างรวดเร็ว โดยธนาคารที่ได้แปรสภาพเป็นเอกชนใหม่ ขาดประสบการณ์หรือวัฒนธรรมเกี่ยวกับการให้บริการเงิน รวมทั้งขาดการควบคุมโดยทางการอย่างเพียงพอ เป็นผลให้สถานะการเงินของธนาคารแต่ละแห่งมีสภาพอ่อนแอ นั่นคือ คุณภาพของหนี้ต่ำ อัตราส่วนทุนต่ำ และเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการชำระหนี้ต่างประเทศ เป็นผลให้รัฐบาลต้องลดค่าเงิน และให้ความช่วยเหลือกับสถานบันการเงินเหล่านี้
ในปี 1997 กลุ่ม Banamex ได้เริ่มให้บริการบัญชีเงินออมเพื่อบำนาญ (Afore) ซึ่งเป็นนโยบายใหม่ของรัฐบาลให้เอกชนสามารถเข้าดำเนินการในส่วนนี้
Banamex มีสาขาทั่วประเทศเม็กซิโกทั้งหมด 1,233 สาขา มีตู้ให้บริการเงินอัฒโนมัติ จำนวน 4,492 แห่ง จ้างพนักงานธนาคารทั้งหมด 28,759 คน มีบัญชีลูกค้า จำนวน 2.6 ล้านบัญชี และมีอัตราส่วนของทรัพย์สินเท่ากับร้อยละ 20.52 ของทรัพย์สินทั้งหมดในระบบธนาครของเม็กซิโก
กลุ่ม Citigroup เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่ล้มเหลวเนื่องจากปัญหาหนี้สูญจาก subprime mortgage ในปี 2008 และต้องขอรับความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตัดสินในเข้ายึดครองหุ้นส่วนของธนาคาร Citi เป็นอัตราส่วนร้อยละ 39 อันเป็นผลให้เกิดแรงกดดันในรัฐสภาเม็กซิโก วิพากษ์วิจารณ์ว่า Citigroup ควรจะขายส่วนของกิจการที่เป็นธนาคาร Banamex ในเม็กซิโก โดยรัฐธรรนูญของเม็กซิโกไม่อนุญาตให้รัฐบาลต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของกิจการด้านการเงินในเม็กซโก แต่ในขณะนี้ มูลค่าทรัพย์สินในส่วนของ Banamex มีมากกว่าส่วนของ Citigroup คงเป็นสิ่งที่ผู้บริหาร Citigroup เดิมไม่ประสงค์ แต่มีแนวโน้มว่าอาจมีนโยบายเปลี่ยนไปเมื่อตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามามีส่วนในการบริหาร
หน้าเวปของ Banamex (ภาษาอังกฤษ) http://www.banamex.com/eng/esem/index.html
ข่าวเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ:
http://www.incakolanews.blogspot.com/2009/03/citigroup-and-banamex-theres-fight.html
No comments:
Post a Comment