Google Website Translator

Tuesday, November 24, 2009

Mexico's sovereign rating lowered to 'BBB, stable outlook'

บริษัทจัดระดับเครดิต Fitch Ratings ได้ประกาศลดระดับอัตราวัดความเชื่อถือการจ่ายหนี้เงินตราต่างประเทศของเม็กซิด (Issuer Default Rating- IDR) ของเม็กซิโก เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2009 จากระดับ BBB+, negative ลดลงหนึ่งระดับเป็น BBB, stable ซึ่งเป็นระดับที่น่าเชื่อถืออยู่ (investment grade) หนึ่งระดับจากระดับควรลงทุนต่ำสุด โดยบริษัท Fitch ได้ชี้แจงว่า ระดับที่จัดใหม่ดังกล่าวสะท้อนความเป็นจริงของภาวะเศรษฐกิจของเม็กซิโกที่ต้องมีการปรับตัวในด้านโครงสร้างการบริหารเศรษฐกิจและการเงิน ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจของเม็กซิโกฟื้นตัว และมีความสามารถขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 4 จะได้รับการปรับคืนสู่อัตราความเชื่อถือเดิม

เม็กซิโกได้รับการปรับอัตราวัดความเชื่อถือใน 10 ปี ที่ผ่านมาดังนี้

                                      Rating               Outlook
  • 11 Apr. 2000          BB                  Positive
  • 3 May 2000            BB+                    -
  • 21 Sep 2000           BB+                Positive
  • 15 Jan 2000            BBB-              Stable
  • 7 Dec 2005             BBB               Stable
  • 29 Mar 2007           BBB               Positive
  • 19 Sep 2007            BBB+            Stable
  • 10 Nov 2008           BBB+             Negative
  • 23 Nov 2009           BBB               Stable

Thursday, November 19, 2009

Mexico and Panama sign Tax Agreement

เม็กซิโกและปานามาลงนามความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน

รัฐบาลใหม่ของปานามาได้ลงนามความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับเม็กซิโก เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2009 โดยความตกลงดังกล่าวมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภาษีระหว่างสองฝ่าย มีผลถอนประเทศปานามาออกจากบัญชีดำด้านภาษีของเม็กซิโก

นอกจากนี้แล้ว ได้เริ่มขอเจรจาความตกลงฯ กับเสปน อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ ตามข้อเสนอและกรอบความตกลงฯ ขององค์กร OECD ซึ่งได้จัดลำดับให้ประเทศปานามาเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นเขตกำบังภาษี (tax haven) ทั้งนี้ ปานามาจะต้องเจรจาและลงนามในความตกลงการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน 12 ฉบับถึงจะได้รับการถอนชื่อออกจากบัญชีประเทศกำบังภาษีของ OECD ประเทศอื่น ๆ ที่มีความสนใจลงนามความตกลงกับปานามาได้แก่ เบลเยี่ยม และโปแลนด์

การที่ปานามาได้ลงนามความตกลงดังกล่าวกับเม็กซิโก เป็นขั้นตอนแรกสำหรับการเริ่มการเจรจาด้านการเงินการคลังอื่น ๆ กับเม็กซิโก และเป็นการปูทางไปสู่กระบวนการเจรจาเขตการค้าเสรีระหว่างสองประเทศในอนาคต

เมื่อปี 2008 รัฐบาลเม็กซิโกได้ยกเว้นการขอวีซ่าสำหรับชาวปานามาที่ประสงค์จะเดินทางเข้าเม็กซิโกเพื่อเอื้ออำนวยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2009 บริษัทวิเคราะห์ฐานะการเงิน Standard & Poor's ได้ยกระดับของ credit rating ของปานาจัดให้อยู่ในระดับ investment grade BB+ (positive) ทั้งนี้รัฐบาลปานามาได้ออกพันธบัตรจำนวน 323 ล้านเหรียญเมื่อเดือนมีนาคม 2009 โดยเสนออัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 7.25 และในเดือนพฤศจิกายนได้ออกพันธบัตรอีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

แหล่งข้อมูล:
http://www.centralamericadata.com/
http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20602085&sid=a_21VC5dqDfY

Tuesday, November 10, 2009

Mexico's wholesale food market (Centrales de Abasto)

ตลาดขายส่งสินค้าเกษตรและอาหารของเม็กซิโก




ตลาดขายส่งสินค้าเกษตรและอาหารของเม็กซิโก มีชื่อว่า Central de Abasto ได้เริ่มก่อตั้งเป็นครั้งแรกในปี 1983 โดยการส่งเสริมของรัฐบาลภายใต้แผนระบบอาหาร เพื่อป้องกันการขาดแคลนอาหาร ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในระยะ 10 ปีแรก โดยปัจจุบันมีตลาดขายส่งสินค้าเกษตรและอาหารทั้งหมด 64 แห่งทั่วประเทศ ตลาดที่ใหญ่ที่สุดได้แก่ตลาดขายส่งในทางใต้ของกรุงเม็กซิโก ซึ่งมีพื้นที่เทียบเท่ากับสนามฟุตบอล 600 สนาม

มีการซื้อขายสินค้าเกษตรและอาหารประมาณ 25,000 ตันต่อวัน ที่ตอบสนองความต้องการด้านอาหารของประชากรของกรุงเม็กซิโกประมาณ 20 ล้านคน ตลาดดังกล่าว มีรถบรรทุกส่งอาหารจำนวน 55,000  คัน โดยมีเครือข่ายการจำหน่ายขนส่งอาหารไปป้อนตลาดของรัฐทั่วเมือง 317 แห่ง ไปยังตลาดขายส่งอื่น ๆ อีก 15 แห่ง ศูนย์จำหน่ายอาหารเอกชน 29 แห่ง ซุปเปอร์มาร์เก็ต 380 แห่ง ผู้แร่ขายตามท้องถนนเป็นพัน ๆ ราย และมีผู้ซื้อที่เดินทางไปทำการซื้อขายจำนวนประมาณ 300,000 คนต่อวัน  การบริการในพื้นที่ตลาดฯ มีบริการตำรวจเฉพาะ โรงกำจัดขยะเฉพาะ ธนาคารที่เปิดให้บริการที่นั่ง 17 สาขา สถานรับเลี้ยงเด็กสำหรับคนงานในตลาด และมีโกดังจำนวน 3,758 แห่ง ยอดขายต่อปีประมาณ 9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีการจ้างงานประมาณ 70,000 คน

ตลาดขายส่งสินค้าเกษตรในกรุงเม็กซิโกนี้ เคยรับการขนถ่ายและจำหน่ายถึงร้อยละ 80 ของปริมาณอาหารที่ซื้อขายทั้งหมดทั่งประเทศ แต่ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ยอดขายและความสำคัญในการขนถ่ายสินค้าเกษตรได้ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 10 เนื่องจากการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ และการเข้าเป็นภาคีความตกลงเขตการค้าเสรี NAFTA  เป็นผลให้มีการแข่งขันจากภาคเอกชนที่เปิดเครือขายการขายอาหารในระดับใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะจากบริษัท Walmart ซึ่งได้ขยายสาขาขายปลีกจาก 200 แห่งในปี 2000 เป็ฯ 753 แห่งในปี 2008 นอกจากนี้แล้ว มีบริษัทขายสินค้าอาหารแบบ membership warehous เพิ่มขึ้น เช่น ห้าง COSTCO, SAM's, และ City Club เป็นต้น



แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: 
http://www.ficeda.com.mx/
Centrales de Abasto de Mexico
A blog about the market
http://www.usatoday.com/news/world/2009-10-19-mexico-markets_N.htm
Mexico City celebrates wholesale market's success
FAO report on wholesale market
Agriculture, Food and Beverage Profile
http://www.labattfood.com/

Thursday, November 5, 2009

Mexican Tax Reform

การปรับโครงสร้างภาษีเม็กซิโก

โครงสร้างภาษีของเม็กซิโกได้รับการปรับปรุงโครงสร้างครั้งหลังสุดเมื่อปี คศ. 1986 และ 1988 สรุปโครงสร้างภาษีสำคัญคือ

ภาษีที่รัฐบาลกลางเป็นผู้จัดเก็บ (federal tax):
  1. ภาษีรายได้ ซี่งแบ่งประเภทย่อย เป็นภาษีรายได้บริษัท ร้อยละ 35 โดยภาษีขั้นต่ำสำหรับธุรกิจคือ asset tax ร้อยละ 2 ของมูลค่าทรัพย์สินบริษัท และรายได้ภาษีบุคคล (ISR) ร้อยละ 28
  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (IVA) ร้อยละ 15 สำหรับการขายสินค้า บริการ โดยมีการยกเว้นภาษีดังกล่าวสำหรับอาหารและยาบางประเภท
  3. ภาษีนำเข้าและส่งออก
  4. การหักอัตราร้อยละ 1 ของเงินเดือน เพื่อสมทบเข้ากองทุนสังคมสงเคราห์และกองเทนเพื่อการซื้อบ้านอยู่อาศัย
  5. ภาษีสรรพสามิต สำหรับกิจกรรมการขุดเหมือนแร่ ภาษีบุหรี่ ภาษีสุรา ภาษีน้ำมัน ภาษีบริการโทรคมนาคม ภาษีรถยนต์ ฯลฯ
ภาษีที่จ่ายในท้องถิ่น หรือสำนักงานเทศบาล (local tax):
  1. ภาษีอสังหริมทรัพย์ (property tax)
  2. ภาษีเงินเดือนซึ่งนายจ้างเป็นผู้จ่าย  (salary tax)
  3. ภาษีการขายอสังหริมทรัพย์
การวิเคราะห์โครงสร้างภาษีในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า รัฐบาลเม็กซิโกเป็นประเทศที่เก็บภาษีได้ต่ำสุดในประเทศสมาชิกกลุ่ม OECD โดยรัฐบาลเม็กซิโกเก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 10 ของผลผลิตประชาชาติในชช่วงระหว่างปี 1980-1990 และเก็บได้ประมาณร้อยละ 10-20 ระหว่างปี 1990-2007 ในขณะที่ประเทศ OECD โดยส่วนใหญ่เก็บภาษีได้ประมาณร้อยละ 30-40 ของ GDP

แม้กระทั่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศละตินอเมริกาด้วยกันแล้ว การเก็บภาษีของเม็กซิโกจัดว่าอยู่ในอันดับต่ำมาก ทั้งนี้ การวิเคราะห์ได้ให้เหตุผลว่า สืบเนื่องจากโครงสร้างการเก็บภาษีของเม็กซิโกที่ขาดประสิทธิภาพ มีขั้นตอนยุ่งยาก และมีข้อยกเว้นมากมาย ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้หลายช่องทาง รวมทั้งผู้เสียภาษีไม่เต็มใจจ่ายภาษีเนื่องจากมีทัศนคติว่ารัฐบาลมีการโกงกินมาก ฉะนั้น นรัฐบาลเม็กซิโกจึงมีความจำเป็นอย่างสูงที่ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี แก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษี และสร้างภาพพจน์ของรัฐบาลให้เกิดความเชื่อมั่นในการบริหารรายได้ของรัฐบาล

ปัญหาของรายได้รัฐบาลเม็กซิโกสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การพึ่งรายได้จากการผลิตและการส่งออกน้ำมัน  โดยปริมาณการผลิตน้ำมันของเม็กซิโกได้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่าน ๆ มาเนื่องจากบ่อน้ำมันสำคัญของเม็กซิโกได้ผ่านช่วงการผลิตสูงสุดแล้ว รวมทั้งโครงสร้างการเก็บภาษีน้ำมันไม่ได้เอื้ออำนวยให้นำกำไรจากการผลิตและส่งออกน้ำมันไปลงทุนสำรวจหาแหล่งน้ำมันใหม่เพิ่มเติม

วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2007-2009 ผนวกกับการลดลงอย่างกระทันหันของการผลิตน้ำมันใน 2ปีที่ผ่านมา ได้สร้างแรงดันแก่รายได้ของรัฐบาลเม็กซิโกอย่างมาก อันเป็นผลให้องค์กรการเงิน (credit rating agencies) Moody และ Fitch ได้ประกาศว่าหากรัฐบาลเม็กซิโกไม่ปรับโครงสร้างภาษี หรือบริหารรายได้รายจ่ายของรัฐบาลให้มีสมดุลมากขึ้นอย่างเร่งด่วน การจัดอันดับความสามารถทางเศรษฐกิจของเม็กซิโก (sovereign rating) ซึ่งอยู่ในระดับไม่ดีนัก คือ BBB+, negative outlook จะต้องถูกลดลงอีก

มาตรการฉุกเฉินที่ประธานาธิบดีแคเดรอนได้ตัดสินใจอย่างฉับพลันเพื่อลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ได้แก่ การสั่งปิดหน่วยงานของรัฐบาล 3 หน่วยงาน อันได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว สำนักงานปฏิรูปการเกษตร และสำนักงานบริการประชาชน

ในการเปิดการพิจารณางบประมาณปี 2010 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2552 ประธานาธิบดีแคลเดรอนได้เสนอแผนงานการปรับโครงสร้างภาษี โดยมีประเด็นสำคัญ คือ
  • แผนงานปรับโครงสร้างภาษีที่เสนอจะเพิ่มความสามารถในการเก็บภาษีได้อีกร้อยละ 2.5 ของผลผลิตประชาชาติ
  • เสนอการเก็บภาษีการบริโภค (consumer tax) ร้อยละ 2 และเพิ่มภาษีรายได้ขั้นต่ำสำหรับกิจการการค้า จากร้อยละ 16.5 โดยทยอยเพิ่มให้เป็นร้อยละ 17.5 ภายในปี 2553 และเก็บภาษีโทรคมนาคมร้อยละ 4
  • จะเพิ่มมาตรการลงโทษผู้ที่หลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี โดยการหักภาษีร้อยละ 2 จากบัญชีเงินฝากของกิจการพ่อค้าขายปลีก
  • จะอนุมัติให้ Pemex ใช้รายได้จากการขายน้ำมันเพื่อใช้ในการลงทุนเพื่อการสำรวจขุดเจาะหาแหล่งน้ำมันเพิ่มเติม  
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2009 สภาของเม็กซิโกได้อนุมัติข้อเสนอของประธานาธิบดีแคเดรอนในระดับที่อ่อนกว่าข้อเสนอเดิม โดยได้อนุมัติให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 1 แทนการเก็บภาษีใหม่ร้อยละ 2 อนุมัติการเก็บภาษีโทรคมนาคมเพียงร้อยละ 3 โดยไม่ให้เก็บจากบริการอินเตอร์เน็ต เพิ่มภาษีรายได้สำหรับผู้ที่รายได้มากกว่า 10,300 เปโซต่อเดือนจากร้อยละ 28 เป็นร้อยละ 30 และเพิ่มภาษีเบยร์จากร้อยละ 26.5 เป็นร้อยละ 25 รวมทั้งกำหนดราคาน้ำมันที่จะใช้ในการคำณวนงบประมาณปี 2010 ให้เท่ากับ 59 เหรียญต่อบาเรล และกำหนดงบประมาณขาดดุลร้อยละ 0.75 ของผลผลิตประชาชาติ

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2009 ปลัดกระทรวงการคลังเม็กซิโก ได้แถลงข่าวว่า รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับปี 2009 ได้ลดลงจากปี 2008 ร้อยละ 17.5 ซึ่งลดลงมากกว่ารายได้จากภาษีอื่น ๆ ที่ลดลงร้อยละ 10.8 ในช่วงเดียวกัน ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดน้อยลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มจากน้ำมันที่ลดลง

แหล่งข้อมล:
http://www.mexconnect.com/articles/6-taxes-in-mexico
http://www.maquilaportal.com/editorial/editorial479.htm
KPMG Tax Report 2007 (pfd)
Mexico: A Comprehensive Development Agenda, Guigale et al.
OECD Tax collection
Mexico’s Peso Falls for Fifth Day on Downgrade Concerns, Oil