Google Website Translator

Thursday, August 27, 2009

Litchi cultivation in Mexico

การเพาะปลูกลิ้นจี่ในประเทศเม็กซิโก

ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรพาณิชย์ของเม็กซิโก ASERCA ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการเพาะปลูกลิ้นจี่ ร่วมกับศูนย์วิจัย CIESTAAM มหาวิทยาลัย Chapingo รัฐ Estado de Mexico สรุปใจความของรายงานได้ดังต่อไปนี้

(รายงานเป็นภาษาเสปนนิชรวมประมาณ 200 หน้า: www.aserca.gob.mx/sicsa/proafex/LITCHI_MEXICANO.pdf)

การเพาะปลูกลิ้นจี่ในระดับใหญ่เพื่อการค้าในประเทศเม็กซิโก ได้เริ่มต้นโดย ครอบครัว Redo de Culiacán ที่รัฐ Sinaloa ได้นำแม่พันธุ์มาจากประเทศจีน มาเป็นเวลานานประมาณร้อยปีแล้ว

ในระหว่างปี 1960-1980 รัฐบาลของเม็กซิโกได้พยายามส่งเสริมการขยายการปลูกผลไม้ในเชิงพาณิชย์หลากหลายชนิด โดยการรณรงค์ของสภาผลไม้แห่งชาติ (CONAFRUT) สถาบันวิจัยป่าไม้ เกษตร และปศุสัตว์ (INIFAP) สถาบันกาแฟแห่งเม็กซิโก (INMECAFE) และเกษตรกรอิสระ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากการขาดประสบการณ์ในการเพาะปลูก และขาดการส่งเสิรมทางการตลาดเพื่อให้ผลไม้ที่ได้รับการส่งเสริมใหม่ได้รับการยอมรับของผู้บริโภคท้องถิ่น

ปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้รัฐบาลเม็กซิโกหันมาส่งเสริมการปลูกผลไม้เชิงเกษตร โดยเฉพาะลิ้นจี่ ได้แก่การที่ราคากาแฟตกต่ำ และการวิจัยการเกษตรได้บ่งชี้ว่า ผลไม้ที่เหมาะแก่การปลูกทดแทนกาแฟได้แก่ maracuyá macademia และลิ้นจี่

มีการเก็บสถิติเกี่ยวกับพื้นที่การเพาะปลูกลิ้นจี่จากปี 1976 เป็นต้นมา โดยมีการบันทึกตัวเลขพี้นที่การเพาะปลูกลิ้นจี่ในปีนั้น ทั้งหมด 1.82 ล้านตารางเมตร ซึ่งพื้นที่ 1.8 ล้านตารางเมตรเป็นพื้นที่การเพาะปลูกลิ้นจี่ในรัฐ Sinaloa เพียงรัฐเดียว อีก 2 หมื่นตารางเมตรเป็นพื้นที่การเพาะปลูกในรัฐ Nayarit สถิติปี 1996 แสดงพื้นที่การเพาะปลูกลิ้นจี่จำนวน 102 ล้านตารางเมตร โดยเขตการเพาะปลูกได้ขยายไปสู่รัฐอี่น ๆ นอกเหนือจาก Sinaloa อันได้แก่ รัฐ San Luis Potosí, Nayarit, Puebla, Veracruz, Oaxaca, Baja California Sur, Coahuila, Campeche, Chiapas และ Hidalgo ทั้งนี้ การเก็บตัวเลขยอดขายของต้นอ่อนลิ้นจี่จากธุรกิจเพาะต้นอ่อนบ่งชี้ว่า เกษตรกรมีความสนใจขยายการเพาะปลูกลิ้นจี่มากพอสมควร

การบริโภคลิ้นจี่ภายในประเทศยังไม่เป็นที่นิยมของผู้บริโภคโดยทั่วไป ผู้ซื้อผลไม้ในเม็กซิโกมีความเห็นว่า ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่แปลก (exotic) และมีราคาแพง เมื่อเทียบกับผลไม้พื้นเมืองหรือผลไม้ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ที่มีหลายหลายประเภทและราคาพอประมาณ

โครงสร้างการขนส่งจากผู้ผลิตลิ้นจี่ไปยังตลาดขายส่งผลไม้ตามภูมิภาคต่าง ๆ ยังขาดการพัฒนา และมีการแบ่งตลาดในระดับภูมิภาค โดยการเพาะปลูกในพื้นที่ San Luis Potosí เน้นการส่งขายในพื้นที่ใกลัเคียง โดยรัฐ Puebla, Veracruz และ Nayarit เน้นการส่งไปยังศูนย์ขายส่งผลไม้ CEDA ของกรุงเม็กซิโก ซึ่งเป็นศูนย์จำหน่ายขายส่งผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ และเป็นแหล่งป้อนผลไม้ให้กับเครือข่ายห้างสรรพสินค้าสำคัญ ๆ เช่น Aurrera, Superama, Chedraui และ Gigante รวมทั้งการขายส่งให้กับร้านอาหารและโรงแรม ส่วนรัฐอื่น ๆ ส่งขายไปตามศูนย์จำหน่ายผลไม้ (Centrales de Abasto) ของรัฐต่าง ๆ

การเพาะปลูกลิ้นจี่ในเชิงเกษตรพาณิชย์ จึงมีโอกาสของการตลาดขึ้นอยู่กับการส่งออกเป็นหลัก โดยมีรัฐ Sinaloa และ Nayarit เน้นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ส่วนรัฐ Veracruz มุ่งส่งออกไปยังญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งใช้บริการโครงสร้างเพื่อการส่งออกผลไม้ที่มีอยู่ดั้งเดิมในพื้นที่เหล่านี้

การส่งออกลิ้นจี่ของเม็กซิโกยังขาดคุณภาพ และประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น การขาดการสนบสนุนทางการเงิน การขาดงบประมาณการรณรงค์การขาย หรือการเริ่มโครงการใหม่โดยขาดประสบการณ์เกี่ยวกับการดูแลต้น และความไม่คุ้นเคยเกี่ยวกับเทคนิคการเพาะปลูกที่จะให้ผลผลิตงอกงามเต็มที่ โดยรวมแล้ว

ทั้งเกษตรกรและผู้ส่งออกขาดการผสมผสานรวบรวมข้อมูลความรู้และประสบการณ์จากการเพาะปลูกผลไม้อื่น ๆ มาใช้ปรับปรุงการผลิตลิ้นจี่ รวมทั้งการขาดการพัฒนาการตลาดสำหรับผู้บริโภคภายในประเทศ
ผลไม้ที่สามารถขยายการผลิตในเชิงพาณิชย์อื่น ๆ มีโอกาสหลายประเภท แต่ไม่ได้รับการส่งเสริม ขาดความรู้ด้านเทคนิค ขาดการวิจัย และมีตลาดแคบ

ศูนย์ส่งเสริมเกษตรพาณิชย์เม็กซิโก ได้เสนอแนะว่าควรมีการตั้งองค์กรรวมสำหรับการส่งเสริมผลไม้ (Patronato de Frutas Exóticas) โดยใช้ลิ้นจี่เป็นผลไม้นำทาง เนื่องจากลิ้นจี่เป็นผลไม้ส่งออกที่มีผลตอบแทนในเชิงพาณิชย์สูง และควรส่งเสริมการเพาะปลูกผลไม้อื่น ๆ ที่มีพันธุ์ผลไม้ใกล้เคียง เช่น เงาะ ลำใย หรือ pulasan (เงาะขนสั้น) โดยควรจะมีเป้าหมายพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตได้คุณภาพดี และส่งขายได้ตลอดปี ลดความผันผวนของการผลิตตามฤดูกาล รวมทั้งความจำเป็นในการวิจัยค้นหาวิธีการเพิ่ม storage shelf life ทั้งนี้ รายงานดังกล่าว ได้บ่งชี้ว่าฤดูกาลผลิตลิ้นจี่ของเม็กซิโก มีความได้เปรียบในช่วงเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่การผลิตโลกไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดยุโรป

ปัญหาสำคัญของผลผลิตลิ้นจี่จากเม็กซิโกที่เป็นปัจจัยลดความแข่งขันด้านการขาย ได้แก่ การเสียคุณภาพเร็ว เปลือกดำง่าย ลูกเล็ก การเก็บเกี่ยวไม่ถูกเวลา การรักษาหลังเก็บเกี่ยวและการบรรจุยังขาดการพัฒนา

Thursday, August 6, 2009

Mexican silver jewelry

การผลิตและจำหน่ายเครื่องประดับเงินในประเทศเม็กซิโก

แหล่งการผลิตดั้งเดิม

ประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งผลิตแร่เงินอันเก่าแก่ตั้งแต่ยุคสมัยของอารยธรรม Aztec และต่อมาราชอาณาจักรเสปนในยุคคริสศัตวรรษที่ 16 ได้พัฒนาการขุดเหมืองเงินในระดับอุตสาหกรรมและส่งออกเงินในจำนวนมากสืบมาถึงปัจจุบัน ทำให้เม็กซิโกเป็นผู้ผลิตเงินอันดับสองของโลกรองจากประเทศเปรู ปริมาณการผลิตประมาณ 104 ล้านเอานซ์ หรือประมาณร้อยละ 15 ของโลก ผู้ผลิตแร่เงินรายใหญ่ของเม็กซิโก ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมม Peñoles, Sombrerete และ Fresnillo เหมืองขุดเงินสำคัญ ๆ ตั้งอยู่ที่รัฐ Zacatecas เป็นส่วนใหญ่

คุณภาพที่ดี และดีไซน์หลากหลาย

คุณภาพของเครื่องประดับเงินของเม็กซิโกเป็นที่ขึ้นชื่อ และได้รับความไว้วางใจจากผู้ซื้ออย่างมาก โดยส่วนผสมของเงินมีตั้งแต่มาตรฐานของ sterling silver หรือ 925 ไปถึงส่วนผสมเงินที่สูงขึ้นและมีการประทับตราลัษณะ 940, 950, 958, 960, 970, 980 และ 990 เป็นต้น เป็นเงินที่รักษาความขาวได้ยาวนานกว่าเครื่องประดับเงินของไทย

การดีไซน์เครื่องประดับเงินของเม็กซิโกมีความเป็นเอกลักษณ์ ใช้ความคิดริเริ่ม ความหลากหลาย และความละเอียดอ่อน ที่เป็นที่ถูกใจกับรสนิยมทั้งอเมริกันและยุโรป โดยการฝึกวิชาชีพช่างออกแบบและช่างประดิษฐ์เครื่องประดับเงินสามารถหาได้ทั่วประเทศและเป็นที่นิยม นอกจากนี้แล้ว ยังมีช่างดีไซน์ที่ได้พัฒนา trademark ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางหลายคน เช่น ในระดับช่างเก่าแก่ (vintage silver masters) ได้แก่ William Spratling, Margot de Taxco, Antonio Pineda, Sigi Pineda, Hector Aguilar, Los Castillo, Victoria, Ana Brilante, Cony, Tono, Salvador Teran, Frederick Davis และ Los Ballesteros และช่างเครื่องประดับเงินสมัยใหม่ ที่มีร้านบูติก และแฟรนไชส์กว้างขวาง ได้แก่ Daniel Espinosa, TaneBerger, Bizarro และ Tanya Moss เป็นต้น

การตลาด

ศูนย์กลางการผลิตเงินเก่าแก่ตั้งอยู่ที่เมือง Taxco ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีสถาปัตยกรรมโบราณที่ขึ้นชื่อ และได้ขึ้นทะเบียนเป็น World Heritage Site ยังคงเป็นศูนย์กลางการค้าเงินที่สำคัญ มีร้านขายเครื่องประดับเงิน รายย่อยกว่าพันราย และมีการจัดเทศกาลเงินทุกปี ในวันอาทิตย์แรกของเดือนธันวาคม นอกจากเมือง Taxco แล้ว ยังได้มีศูนย์กลางการขายเงินที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ที่รัฐอื่น ๆ เช่น รัฐ Puebla Guanajato และ Chaipas สำหรับในเขตเม็กซิโกซิตี้ มีตลาดงานหัตถกรรมสำคัญ 2 แห่ง ที่มีการขายเงินให้แก่นักท่องเที่ยว คือ La Cuidadela และ Mercado Insurgentes Zona Rosa

การที่ประเทศเม็กซิโกเป็นผู้ผลิตแร่เงินรายใหญ่ ย่อมหมายความว่าผู้ผลิตเครื่องประดับเงินภายในประเทศเม็กซิโก มีความได้เปรียบด้านต้นทุนที่ต่ำกว่าผู้ผลิตเครื่องประดับประเทศอื่นๆ ที่ต้องนำเข้าเงินเพื่อทำการแปรรูป

ผู้ผลิตเครื่องประดับเงินในเม็กซิโกไม่ได้รับการสนับสนุนโดยเฉพาะแต่อย่างใดจากรัฐบาลของเม็กซิโก นอกเหนือไปจากการส่งเสริมธุรกิจขนาดย่อมโดยทั่วไป การขายเครื่องประดับเงินเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงโดยผู้ขายมีตั้งแต่ การหาบเร่การขายตามงานเทศกาล การเปิดร้านเครื่องประดับตามเมืองต่างๆ การรวมกลุ่มร้านตามตลาดหัตถกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยม การออกงานนิทรรศการ และการขายออนไลน์

งานแสดงเครื่องประดับระดับระหว่างประเทศที่ใหญี่ที่สุดในเม็กซิโก ซึ่งเป็นแหล่งการพบปะระหว่างผู้ส่งออกและผู้นำเข้า มีทั้งการขายปลีกและขายส่ง เป็นงานแสดงสินค้าเครื่องประดับที่จัดขึ้นโดยกลุ่มหอการค้าเครื่องประดับรัฐ Jalisco ซื่อ Joya จัดขึ้นทุก ๆ เดือนตุลาคมที่เมือง Guadalajara

แหล่งข้อมูล:
http://www.silverinstitute.org/
http://www.camaradejoyeria.com.mx/
http://www.mineweb.net/mineweb/view/mineweb/en/page34?oid=18829&sn=Detail
http://hubpages.com/hub/Antique-and-Vintage-Mexican-Silver
http://www.silverhuntress.com/links.html

Honduran political crisis halts investment in tourism sector

วิกฤตการณ์ทางการเมืองประเทศฮอนดูรัส

วิกฤตการณ์ทางการเมืองของประเทศฮอนดูรัส ที่เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเมืองในกลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนความเชื่อมั่นในความมั่นคงของการเจริญเติบโดทางเศรษฐกิจสำหรับกลุ่มประเทศอเมริกากลาง ทั้งนี้ การปะทะกำลังกันระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนนาย Zelaya กับฝ่ายที่คัดค้าน อาจจะขยายเป็นสงครามกลางเมืองได้อย่างง่ายดายและย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องเลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

รัฐบาลของนาย Zelaya เดิมมีกำหนดจะหมดวาระในเดือนตุลาคม 2009 แต่นาย Zeleya ได้พยายามที่จะให้มีการลงประชามติเพี่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อต่ออายุการดำรงตำแหน่งประธานาธบิดี ซึ่งศาลสูงของประเทศได้ลงมติว่า ขัดกับรัฐธรรมนูญ และเมื่อนาย Zelaya ได้ยืนยันให้มีประชามติ กลุ่มผู้นำทางทหารของฮอนดูรัสจึงบุกทำเนียบจับส่งประธานาธิบดี Munuel Zelaya ออกนอกประเทศและได้สั่งห้ามไม่ให้เดินทางกลับประเทศ

ประเทศต่างๆ ได้ประนามว่า การกระทำดังกล่าว เป็นเสมือนการรัฐประหาร และนาย Zelaya ควรได้กลับประเทศฮอนดูรัสเพื่อดำรงตำแหน่งให้ครบวาระ องค์กรสหประชาชาติได้ลงประชามติเมื่อวันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน ประนามการปฏิบัติดังกล่าว และต่อมานาย Zelaya ได้เดินทางไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านต่าง ๆ เพื่อขอการสนับสนุนฐานะของตน ประเทศที่ได้แสดงการประท้วงอย่างชัดเจนได้แก่ สหรัฐฯ ซึ่งได้ยกเลิกความช่วยเหลือทางทหาร และประเทศสเปนและฝรั่งเศส ซึ่ได้ถอนทูตออกจากประเทศฮอนดูรัส

ประธานาธิบดีของคอสต้าริกา นาย Óscar Arias ได้พยายามไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างสองฝ่าย แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และการประชุมผู้นำ Tuxtla Summit ของสามประเทศ เม็กซิโก คอสต้าริกา และกัวเตมาลา ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้นาย Zelaya ได้กลับประเทศ

วิกฤตการณ์ทางการเมืองดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนด้านการท่องเที่ยวในฮอนดูรัสโดยทันที เป็นเหตุให้เงินลงทุนในภาคนี้หยุดชะงัก มีการถอนทุน โดยนักธุรกิจต่างกลัวว่าจะมีการลดค่าเงิน แต่ก็มีกลุ่มนักธุรกิจที่แสดงท่าทีสนับสนุนรัฐบาลที่ได้แต่งตั้งขึ้นชั่วคราว ว่าเป็นการป้องกันอิสระภาพของประเทศ โดยกล่าวว่ากลุ่มธุรกิจต่าง ๆ สามารถทน การ sanction จากต่างประเทศได้ถึง 3-4 เดือน ให้ถึงวาะการเลือกตั้งใหม่ในเดือนตุลาคม

Costa Rican Economy shows signs of recovery

เศรษฐกิจคอสต้าริกา แสดงแนวโน้มผลกระทบจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกลดลง

เมื่อสิ้นเดือนกรกฏาคมนี้ สภาหอการค้าอเมริกันแห่งประเทศคอสต้าริกา ได้จัดการสัมมนาเรื่องภาวะเศรษฐกิจของคอสต้าริกา โดยธนาคารแห่งชาติของคอสต้าริกา ได้รายงานว่า เศรษฐกิจของคอสต้าริกาเริ่มแสดงภาวะฟื้นฟูจากผลกระทบของวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลก โดยผลผลิตชาติได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเดือนกรกฏาคม และภาวะเงินเฟ้อได้ลดลง ถึงแม้ว่าภาวะของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังคงซบเซาอยู่

ปัจจัยที่จะช่วยให้เศรษฐกิจคอสต้าริกาดีขึ้นในปีนี้ ได้แก่

  • การเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกรคม ของความตกลง The Dominican Republic-Central America Free-Trade Agreement (DR-CAFTA) ซึ่งมีเงื่อนไขการเปิดเสรีภาคการสื่อสารและภาคอุตสาหกรรมการประกัน จะเป็นแรงชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ
  • แผนการกระต้นเศรษฐกิจ Plan Escudo ที่ได้เริ่มเมื่อเดือนมิถุนายน รวมทั้งมาตรการประกันสังคมที่ได้เริ่มใหม่
  • และโครงการลงทุนเพื่อการพัฒนาเมืองท่า Limón ซึ่งได้รับเงินลงทุนจำนวน $80 ล้านเหรียญฯ จะช่วยกระตุ้นการก่อสร้างต่อเนื่องและย่อมมีผลในการสร้างงานเพิ่มในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า
ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศของคอสต้าริกาอยู่ในภาวะสมดล โดยมีเงินสำรองระหว่างประเทศ $170 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังมีความตกลงstand-by arrangement กับ IMF เพื่อถอนเงินฉุกเฉินเพื่อหนุนเงินทุนสำรองได้จำนวน 375 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การฟื้นฟูของเศรษฐกิจภายในปีนี้ จะส่งผลต่อการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ในเดือนกุมภาพันธุ์ 2010 โดยมีแนวโน้มว่าพรรค Partido Liberación Nacional –PLN ของประธานาธบดี Óscar Arias จะได้เข้ามาเป็นรัฐบาลอีก และคาดว่าภายหลังการเลือกตั้งในปีหน้า จะมีการผลักดันการปรับโครงสร้างภาษีการเงินเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจต่อไป