Google Website Translator

Friday, October 28, 2011

Mexico-Central America Unified Trade Agreement

ความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างเม็กซิโกและกลุ่มประเทศอเมริกากลาง

เมื่อปี 2009 เม็กซิโกได้เริ่มการเจรจาในด้านเทคนิคเพื่อการรวมความตกลงเขตการค้าเสรีที่เม็กซิโกมีกับประเทศนิคารากัว (1998) และคอสตาริกา (1995) เข้ากับความตกลงที่มีกับกัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ (North Triangle) ที่ได้ลงนามในปี 2001 ให้เป็นกรอบความตกลงเดียว การเจรจาในรายละเอียดด้านเทคนิคได้เสร็จสิ้นลงระหว่างการประชุมผู้นำประเทศ (Summit of the Tuxtla Mechanism) ครั้งที่ 13 ที่เม็กซิโกเป็นเจ้าภาพการประชุม เมื่อวันที่ 16-17 ตุลาคม 2011 ที่เมือง Tuxtla รัฐ Chiapas การลงนามในความตกลงเขตการค้าเสรีฉบันเดียวใหม่นี้จะเกิดขึ้นในการประชุมผู้นำฯ ครั้งต่อไปในปีหน้า


การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดของความตกลงการค้าเสรีฉบับเดียวดังกล่าว คือ การตกลงให้คู่สัญญาทั้งหมด มีแหล่งกำเนิดสินค้า (rules of origin) เดียวกัน เพื่อการผนวกกระบวนการผลิตในพื้นที่ของคู่สัญญา ให้สามารถนำวัตถุดิบไม่ว่าจากประเทศใดประเทศหนึ่งไปใช้ในกระบวนการผลิตในอีกประเทศหนึ่งได้โดยถือว่ามาจากแหล่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสิ่งทอและอาหาร เป็นต้น ประเทศที่ได้รับผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดทันทีได้แก่ ประเทศเอลซัลวาดอร์ ซึ่งในปัจจุบันต้องเสียภาษีสำหรับการส่งออกน้ำตาลไปยังเม็กซิโก จะสามารถเพิ่มการส่งออกน้ำตาลไปยังเม็กซิโกได้มากขึ้น ในภาวะที่เม็กซิโกขาดแคลนน้ำตาล และได้เปิดโควต้าการนำเข้าน้ำตาลประมาณ 150,000 ตัน ทั้งนี้ เม็กซิโกมีผลผลิตน้ำตาลช่วง 2010/2011 ปริมาณ 5.18 ล้านตัน แต่ประสบภาวะขาดแคลนน้ำตาลสำหรับตลาดภายประเทศ เนื่องจากผู้ผลิตได้รับราคาจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯที่ดีกว่า

ประเด็นสำคัญอีกส่วนหนึ่งของความร่วมมือภายใต้ Summit of the Tuxtla Mechanism ได้แก่ แผนพัฒนา Puebla-Panama Plan (2001) ที่ได้เป็นพื้นฐานของโครงการความร่วมมือ Meso-American Project for Integration and Development ปี 2008 ซึ่งได้เอื้ออำนวยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระหว่างรัฐทางตอนใต้ของเม็กซิโก เพื่อการส่งออกไฟฟ้าจากเม็กซิโกไปยังกลุ่มประเทศอเมริกากลางผ่านเครือขายไฟฟ้าของกัวเตมาลา (Proyecto SIEPAC)

การค้าระหว่างเม็กซิโกกับกลุ่มประเทสอเมริกากลางมีมูลค่าประมาณ 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

No comments: