Google Website Translator

Monday, October 11, 2010

War on drugs affects Mexico's tourism

ผลกระทบของสงครามปราบปรามยาเสพติดต่อภาวะการท่องเที่ยวในเม็กซิโก

รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาได้ออกประกาศการเตือนภัยเกี่ยวการเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโก เมื่อต้นปี 2553 เมื่อเจ้าหน้ากงศลของสหรัฐฯ ถูกสังหาร 3 คน ในระหว่างการเดินทางในเมืองชายแดน Tijuana โดยได้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดการเตือนภัยฯ ทุก 90 วัน จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2553 ซึ่งเมื่อครบ 180 วันแล้ว จะต้องมีการพิจารณาถอนคำเตือนฯ จึงได้มีประกาศเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังเม็กซิโก (Travel Warning) ลงวันที่ 10 กันยายน 2553 ในหน้าเวปของกรมกงศุล กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยกเลิกการงดประจำการของเจ้าหน้าที่กงศุลสหรัฐฯ ในเมือง Tijuana, Nogales, Ciudad Juarez, Nuevo Laredo, Monterrey และ Matamoros แต่ยังคงรักษาการเตือนเพื่อตักเตือนห้ามการเดินทางสำหรับเด็กหรือเยาชนสัญชาติอเมริกันในรัฐ Monterrey เนื่องจากได้มีระเบิดเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับโรงเรียนอเมริกันในเมืองนั้น เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม

การเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางสำหรับประเทศเม็กซิโกดังกล่าวข้างต้น ได้มีการกระจายข่าวไปยังโรงเรียน มหาวิทยาลัย และบริษัทที่จัดทัวร์และขายตั๋วเครื่องบินในสหรัฐฯทั้งหลาย และได้มีผลให้มีนักท่องเที่ยวอเมริกันหลายคนพิจารณางดการเดินทาง หรือเปลี่ยนแผนการเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอื่น ๆ แทน

เหตุของการเตือนภัยเกี่ยวกับการเดินทางไปยังเม็กซิโก มาจากความรุนแรงที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากสงครามปราบปรามยาเสพติด ที่เป็นนโยบายสำคัญของประธานาธิบดีเม็กซิโก ที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2549 โดยมีการส่งกองกำลังของทหารไปเสริมการทำงานของตำรวจในท้องที่ ๆ เป็นพื้นที่ ๆ กลุ่มพ่อค้ายาเสพติดควบคุมอยู่ อันได้แก่ รัฐ Michoacán และรัฐ Tamaulipas รวมทั้งรัฐข้างเคียง อันได้แก่ รัฐ Chihuahua, Sinaloa, Durango และ Coahuila และตามจุดผ่านชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก

การไล่จับตัวเจ้าพ่อกลุ่มค้ายาเสพติดที่สำคัญๆ ทำให้เกิดการยิงสู้รบกับกลางถนน ระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้าย รวมทั้งระหว่างกลุ่มคนร้ายด้วยกันเอง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคเหนือของเม็กซิโก เช่น ที่เมือง Ciudad Juarez, Tijuana, Chihuahua City, Nogales, Nuevo Laredo, Piedras Negras, Reynosa, Matamoros และ Monterrey ในช่วงหลังๆ การยิงสู้รบกันกลางถนนได้ขยายไปในเขตที่ไม่ได้เป็นถิ่นเดิมของกลุ่มค้ายาเสพติด เช่น ที่รัฐ Nayarit, Jalisco และ Colima

รัฐบาลเม็กซิโกได้ประสบผลสำเร็จ จับตัวหัวหน้ากลุ่มค้ายาเสพติดสำคัญๆ ได้หลายรายแล้ว เช่น The Barbie และ El Chopo จากกลุ่ม Sinaloa Cartel และ El Teo พ่อค้ากัญชาและยาบ้าตัวฉกันจากเมือง Tijuana

กลุ่มค้ายาเสพติดของเม็กซิโกได้ขยายอำนาจควบคุมเส้นทางการลักลอบขนยาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงปี คศ. 1990 เมื่อกลุ่มค้ายาเสพติดของโคลัมเบียมีอำนาจลดลง จากการร่วมปราปรามโดยความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีกลุ่มลักลอบค้ายาเสพติดในเม็กซิโก ที่ควบคุมเส้นทางการลักลอบขนถ่ายข้ามแดน รวมทั้งควบคุมตลาดการขายยาเสพติดในสหรัฐฯ มีสองฝ่ายใหญ่ ๆ คือฝ่าย Juárez Cartel, Tijuana Cartel, Los Zetas และ Beltrán-Leyva Cartel และฝ่ายตรงกันข้ามมีการวมตัวกันของกลุ่ม Gulf Cartel, Sinaloa Cartel และ La Familia Cartel

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ประเมินมูลค่าของการค้าโคเคนที่ถูกลักลอบเข้าสหรัฐฯ โดยผ่านเม็กซิโก ว่ามีมูลค่าระหว่าง 1.3 ถึง 4.8 หมื่นล้านเหรียญฯ ต่อปี

ความรุนแรงที่สืบเนื่องมาจากการปราบปรามยาเสพติดที่นับวันจะทวีขึ้น เกิดจากการไล่ฆ่าล้างแค้นหัวหน้าเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ระหว่างกลุ่มค้ายาเสพติดกันเอง ได้มีนายกเทศมนตรี ผู้บัญชาการทหาร และหัวหน้าตำรวจสืบสวน ถูกลอบสังหารไปแล้วหลายคน ในการสู้รบที่ได้เกิดขึ้นเนื่องจากสงครามปราบปรามยาเสพติด ได้มีประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเช่นกัน รายงานข่าวของตำรวจเม็กซิโก ได้แจ้งว่า ผู้ที่เสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด (ทั้งเจ้าหน้าที่ คนร้ายและประชาชน) ตั้งแต่ปี 2549 มีจำนวนประมาณ 22,700 คน และในเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2553 ได้มีการค้นพบกองศพการสังหารหมู่ในบ้านหลังหนึ่ง ที่มีศพกองอยู่รวม 76 ศพ



โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ให้ข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้ห้ามการเดินทางไปยังเม็กซิโก แต่ต้องแจ้งเตือนให้ประชาชนชาวอเมริกันมีความระมัดระวังในการเดินทางไปยังรัฐบางแห่ลในเม็กซิโก รวมทั้งในบริเวณชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในพื้นที่ อื่น ๆ ในเม็กซิโกจะมีสภาวะปกติที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มักจะไม่เป็นพื้นที่เป้าหมายของความรุนแรง ยกเว้น เมือง Cancún ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของการลักลอบขนยาเสพ และได้มีการสังหารนายทหารที่ควบคุมการกวาดล้างในพื้นที่ไปผู้หนึ่ง และในเขตเมือง Cancún กลุ่มค้ายาเสพติดอาจจะมีการแอบอ้างตัวเป็นตำรวจ หรือการเจาะเข้าไปทำงานในกองตำรวจของพื้นที่

องค์การท่องเที่ยวโลก (UNTWO) ได้จัดอันดับประเทศเม็กซิโก เป็นประเทศที่รับนักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลกในปี 2552 โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังประเทศเม็กซิโกในปีนั้นจำนวน 21.5 ล้านคน การท่องเที่ยวของเม็กซิโกเป็นแหล่งรายได้อันดับสามของประเทศ รองจากน้ำมันและเงินส่งกลับจากต่างประเทศ โดยการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับเม็กซิโกประมาณ 1.3 หมื่นล้านเหรียญต่อปี นอกจากนี้แล้วมีการการเดินทางไปกลับข้ามชายแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกวันละหลายหมื่นคน และมีชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเม็กซิโกประมาณ 1 ล้านคน

กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกได้รายงานว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางไปยังเม็กซิโกรวม 7.1 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.2 ของช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยมีนักท่องเที่ยว 4.3 ล้านคนที่เดินทางมากจากสหรัฐฯ อีก 1.3 ล้านคนเดินทางมาจากแคนาดา และ 200,513 คนจากประเทศสเปน

แหล่งข่าว:
http://travel.state.gov/travel/cis_pa_tw/tw/tw_4755.html
http://www.bajainsider.com/baja-california-travel/mexico-travel-warning.htm
http://online.wsj.com/article/NA_WSJ_PUB:SB123931839488506787.html
http://travel.usatoday.com/destinations/dispatches/post/2010/08/cancun-bar-mexico-travel-safety/110694/1?csp=hf
http://worldblog.msnbc.msn.com/_news/2010/09/08/5069426-mexican-blog-sheds-grim-light-on-drug-war
http://www.dallasnews.com/sharedcontent/dws/news/world/stories/DN-mexicotourism_11bus.ART.State.Edition1.47662b3.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Mexican_Drug_War
http://en.wikipedia.org/wiki/World_Tourism_rankings

No comments: