Google Website Translator

Wednesday, July 18, 2012

Effect of Euro crisis on Mexico

ผลกระทบของวิกฤตการณ์ยูโรในเม็กซิโก

นาย Augustin Carstens ผู้ว่าแบงค์ชาติแห่งเม็กซิโก ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจเม็กซิโก โดยกล่าวถึงผลกระทบของสถานการณ์การเงินของสหภาพยุโรป ว่าเศรษฐกิจของเม็กซิโกยังได้รับผลกระทบไม่มากนัก และจะคงรักษาภาวะเศรษฐกิจที่ดีต่อไปได้ หากสถานการณ์การเงินของยุโรปไม่ถดถอยจนเกิดเหตุการณ์วิกฤต 2 ประการที่จะส่งผลกระทบต่อเม็กซิโก อันได้แก่ 


1. ภาวะหนี้ของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีภาวะที่รุนแรงมากขึ้นจนสภาพคล่องทางการเงินของภูมิภาคยุโรปอยู่ในขั้นวิกฤต ปริมาณเงินทุนไหลเวียนจากยุโรปไปสู่ตลาดเกิดใหม่น้อยลง 



2. สภาวะของยุโรปเกิดผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของเม็กซิโก 


ปัจจัยที่ช่วยต้านทานวิกฤการณ์การเงินของเงินยูโรสำหรับเม็กซิโก ได้แก่
  • เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ รวมทั้งความสามารถเบิกเครดิตฉุกเฉิน ที่มีกับองค์กรการเงินระหว่างประเทศ เป็นมูลค่ารวม 200 พันล้านเหรยีญสหรัฐฯ 
  • อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่ควบคุมในอัตราร้อยละ 3 
  • ดุลบัญชีด้านต่างประเทศที่มีสภาพสมดุล
  • โครงสร้างระบบการเงินที่มีความมั่นคง และได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี 
  • ภาวะการผลิตในไตรมาสแรกของปี ค.ศ. 2012 ที่แสดงการขยายตัวที่ดี ถึงแม้ว่าจะแสดงการชลอตัวลงเล็กน้อยในตอนท้ายไตรมาสฯ 
  • ภาวะการผลิตที่สอดคล้องกับภาวะส่งออกที่ยังคงอยู่ในระดับปกติ 
  • ภาคธนาคารของเม็กซิโกมีเงินทุนเพียงพอ และภาวะหนี้สินยังคงอยู่ในสภาวะที่มั่นคง ผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดขึ้น อาจจะมาจากระบบการเงินไม่ใช่การส่งออก เนื่องจากธนาคารของเม็กซิโกหลายแห่ง มีความสัมพันธ์กับธนาคาร BBVA Bancomer และธนาคารSantander ของสเปน 
ผลกระทบต่อการส่งออก

สภาความมั่งคงของระบบการเงิน (CESF) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อประเมินสถานการณ์การเงินของเม็กซิโกอย่างสม่ำเสมอภายหลังวิกฤตการณ์การเงินปี 1997 และสำนักงานสถิติแห่งชาติของเม็กซิโก (INEGI) ได้รายงานว่า การส่งออกของเม็กซิโกไปยังสหภาพยุโรปในไตรมาสแรกปีนี้ มีสัดส่วนร้อยละ 6.7 โดยมีเพียงร้อยละ 2 ที่เป็นการส่งออกไปยังประเทศที่มีปัญหาการเงินกลุ่ม PIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน) ในขณะที่การส่งออกโดยส่วนใหญ่ของเม็กซิโกเป็นการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 77.2 นอกจากนี้แล้ว เม็กซิโกมีการส่งออกไปยังแหล่งอื่นๆ อันได้แก่ ภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริเบียน ร้อยละ 11.1 ประเทศในทวีปเอเชีย ร้อยละ 4.5 กลุ่มประเทศโอเซียเนีย ร้อยละ 0.3 ประเทศในทวีปแอฟริกา ร้อยละ 0.1 และกลุ่มประเทศอาหรับร้อยละ 0.1 

การส่งออกของเม็กซิโกไปสหภาพยุโรปจึงเป็นสัดส่วนที่ไม่สำคัญมาก และการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบกับการไหลเวียนของแหล่งเงินทุนภายในประเทศ ล้วนปัจจัยที่ปกป้องเศรษฐกิจของเม็กซิโกจากสถานการณ์การเงินของยุโรป และเป็นตัวชี้ไปในทางบวกสำหรับเศรษฐกิจของเม็กซิโก 

สภา CESF ได้แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินของยุโรป แต่ก็เป็นส่วนที่จำกัดในส่วนผลกระทบที่อาจจะมีต่อภาวะเศรษฐกิจของโลกโดยรวม และในกรณีย์ที่จะเกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงินในยุโรป ไม่มีข้อกังวลในผลกระทบต่อการส่งออกเม็กซิโกโดยตรง 

ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว 

สำหรับผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวนั้น ก็ยังไม่ปรากฎผลกระทบในทางลบ เนื่องจากค่าเงินของเม็กซิโกที่อ่อนตัวกว่าค่าเงินยูโร เป็นปัจจัยส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากยุโรป ยังคงพิจารณาการเดินทางมาท่องเที่ยวในเม็กซิโกได้อยู่ เม็กซิโกรับนักท่องเที่ยวจากยุโรปในสัดส่วนร้อยละ 15 ในขณะที่รับนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนร้อยละ 60 จากลาตินอเมริการ้อยละ 15 และจากเอเชียร้อยละ 5 ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจากยุโรปมักจะมีความนิยมท่องเที่ยวในพื้นที่ฝั่งทะเลแคริเบียน หาดทรายฝั่งRiviera Maya และกรุงเม็กซิโก 

ผลกระทบต่อภาวะการลงทุน 

ภาวะวิกฤตการณ์ในยุโรป จะเป็นปัจจัยชักจูงให้นักธุรกิจยุโรป ย้ายถิ่นฐานมาที่เม็กซิโกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศสเปน ในปัจจุบันมีบริษัทจากสเปนที่ดำเนินการลงทุนในเม็กซิโก มีจำนวน ประมาณ 4,000 บริษัท 

ร้อยละ 37 ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเม็กซิโก มีแหล่งเงินทุนมาจากสหภาพยุโรป เยอรมันเป็นผู้ลงทุนสำคัญ และได้เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ใหม่ของยีห้อโวล์สวาเก็น ในปี 2011 

มูลค่าการลงทุนในปี 2011 มีมูลค่ารวม 19,439.8 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปี 2010 เป็นการลงทุน ในภาคการผลิตร้อยละ 44.1 ด้านบริการการเงินและประกันร้อยละ 18 ภาคการค้าร้อยละ 9.5 ภาคก่อสร้างร้อยละ 6.4 ภาคข้อมูลสารสนเทศและสื่อสาร ร้อยะล 5.7 และภาคอื่นๆ ร้อยละ 16.3 

ส่วนแหล่งเงินทุนโดยตรงระหว่างประเทศในปี 2011 มีมาจากสหรัฐฯ ร้อยละ 55 จากสเปนร้อยละ 15 จากเนเธอร์แลนด์ร้อยละ 6.7 สิวสเซอร์แลนด์ร้อยละ 6.3 แคนาดาร้อยละ 3.4 ญี่ปุ่นร้อยละ 3.4 และประเทศอื่นๆ ร้อยละ 10

No comments: